Blueberry อัดแน่นไปด้วยสารแอนโทไซยานิน หนึ่งในไฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมการทำงานของเซลล์สื่อประสาท ช่วยเรื่องระบบความจำ และบำรุงผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง
Blueberry ฤทธิ์เยอะกว่าที่คิด
Blueberry (บลูเบอร์รี) เป็นไม้พุ่มจากอเมริกาเหนือ มีรสหวาน และแทบจะไร้เมล็ด ทำให้คนพื้นเมืองกินบลูเบอร์รีเป็นอาหารมานานหลายพันปี เพราะกินได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง
โดยบลูเบอร์รี 1 ถ้วยนั้นให้วิตามิน C มากถึง 25% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และให้พลังงานเพียง 80 แคลอรี ทั้งยังประกอบไปด้วยวิตามิน K, A, แมกนีเซียม และไฟโตนิวเทรียนท์ ที่สามารถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้ แถมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย1
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะเบาหวาน หรือต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ ควรต้องระมัดระวังการกินบลูเบอร์รีในปริมาณมากๆ เพราะเพียง 1 ถ้วย ก็ให้น้ำตาลสูงถึง 15 กรัม ซึ่งเทียบเท่ากับ 50% ของปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายต้องการทั้งวันเลยทีเดียว
10 สรรพคุณของบลูเบอร์รี
นอกจากบลูเบอร์รี (Blueberry) จะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แถมยังมีโฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยชะลอวัย แต่ให้แคลอรี่ต่ำ ผลไม้ลูกจิ๋วนี้ ยังมีสรรพคุณอีกมากมายที่ดีต่อสุขภาพ ดังต่อไปนี้4
1. ให้สารต้านอนุมูลอิสระ
สารไฟโตนิวเทรียนท์ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ในบลูเบอร์รี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่ม Scavenger ช่วยต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย โดยเข้าไปทำลาย หรือยับยั้งอนุมูลอิสระ13ไม่ให้เกาะตัวเป็นลูกโซ่ หรือลดอันตรายต่อเซลล์ปกติในร่างกาย14 ทำให้ร่างกายมีความเสื่อมถอยหรือความชราช้าลง7
ผสานคุณค่า วิตามิน
เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์
2. ช่วยลดความดันโลหิต
ในบลูเบอร์รีมีสารฟลาโวนอยด์สูง ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยควบคุมระดับอินซูลินในหลอดเลือด นอกจากนี้ ฟลาโวนอยด์ยังช่วยทำให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นได้ดี ด้วยการเพิ่มแรงต้านและการขยายตัว จึงทำให้ผนังหลอดเลือดไม่เปราะและฉีกขาดง่าย1
3. เสริมการทำงานของเซลล์สื่อประสาท
สารต้านอนุมูลอิสระในบลูเบอร์รีนั้น เป็นตัวช่วยเซลล์สื่อประสาทในสมองให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยจะช่วยส่งเสริมการทำงานในการรับส่งข้อมูลของเซลล์สื่อประสาทในสมองโดยตรง7
4. ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด
สารแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รีเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำตาลในเลือดที่ส่งผลดีต่อภาวะดื้ออินซูลินและการเผาผลาญกลูโคส ลดการเกิดน้ำตาลในเลือดสูงได้7 ทั้งนี้ การกินผลสดเพื่อให้ได้สารแอนโทไซยานินในปริมาณที่จะส่งผลดังกล่าว อาจทำให้ได้รับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป จนไม่เกิดผลตามต้องการ
5. ช่วยในการย่อยอาหาร
บลูเบอร์รีมีไฟเบอร์ จึงช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่นและดีมากยิ่งขึ้น9
6. ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
สารไฟโตเคมีคอลในบลูเบอร์รี ช่วยต้านอนุมูลอิสระจากสารคอเลสเตอรอลได้ ลดความเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไปยังหัวใจได้ดี จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ1
7. ช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็ง
บลูเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ดีเอ็นเอเสื่อมช้าลง จึงเป็นการช่วยชะลอการเกิดโรคมะเร็ง7
8. ช่วยบำรุงสายตา
สารต้านอนุมูลอิสระในบลูเบอร์รีช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงดวงตาได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ถือได้ว่าเป็นการช่วยบำรุงสายตาได้อีกวิธีหนึ่ง1
9. ช่วยบำรุงสุขภาพในผู้สูงวัย
การกินบลูเบอร์รีช่วยบำรุงสุขภาพในผู้สูงวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่คอยต้านความเสื่อมถอยของเซลล์ในทุกๆ วัน1
10. ช่วยบำรุงผิวพรรณ
สารแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รี ช่วยให้หลอดเลือดทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เซลล์สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนได้มากขึ้น เซลล์ผิวจึงดูสดใสมากกว่าปกติ8
บลูเบอร์รี กินแบบไหนดีที่สุด
มีวิธีที่หลากหลายในการเลือกกินบลูเบอร์รี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้10
กินบลูเบอร์รีสด
บลูเบอร์รีสดดีต่อร่างกาย เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินซี และไมโครนิวเทรียนต์ ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี เหมาะที่จะกินเป็นมื้อเช้า โดยปริมาณที่แนะนำในแต่ละวันอยู่ที่ 178 กรัม1
นำบลูเบอร์รีมาปรุงอาหาร
เมื่อนำบลูเบอร์รี มาปรุงอาหาร ร่างกายของเราจะได้รับไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอาหารที่สามารถทานได้ตลอดทั้งวัน เหมาะสำหรับบุคคลที่มีอายุมากกว่า 16 สัปดาห์ขึ้นไป เราควรกินบลูเบอร์รี วันละ 22-50 กรัม เช่น นำบลูเบอร์รีไปใส่ในสลัดผัก9
ดื่มน้ำบลูเบอร์รี
เราสามารถดื่มน้ำบลูเบอร์รีได้ ด้วยการนำมาปั่นเป็นสมูธตี้ ใช้ผัก 2 ถ้วยตวง ต่อบลูเบอร์รี 1 ถ้วยตวง สามารถใส่กรีกโยเกิร์ตหรือผงโปรตีนลงไปเพิ่มได้ โดยไม่ต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม เพราะบลูเบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลในปริมาณที่มากอยู่แล้ว คุณสามารถดื่มสมูธตี้ 1 แก้ว แทนอาหาร 1 มื้อได้เลย สามารถกินได้ตลอดทั้งวัน แต่ต้องระวังว่าผู้ดื่มต้องมีอายุมากกว่า 16 สัปดาห์ขึ้นไป10
กินอาหารเสริมที่มีบลูเบอร์รี
สำหรับอาหารเสริมจากบลูเบอร์รี ถือว่ามีประโยชน์มาก สำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงน้ำตาล เพราะมีสารสกัดที่ได้มาจากบลูเบอร์รี รวมถึงยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีปริมาณแนะนำอยู่ที่ 100 มิลลิกรัมต่อวัน ทานติดต่อกัน 3 เดือน จะช่วยให้ความทรงจำดีขึ้น6
ผสานคุณค่า วิตามิน
เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์
ข้อควรรู้ ก่อนกินบลูเบอร์รี
- หยุดกินบลูเบอร์รีก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากบลูเบอร์รีอาจทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทั้งระหว่างและหลังการผ่าตัดไม่ปกติ
- บลูเบอร์รีช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานลงได้ ผู้ป่วยจึงควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการกินใบของบลูเบอร์รี เพราะยังไม่มีผลวิจัยว่าสามารถกินได้อย่างปลอดภัย12
สรุป
บลูเบอร์รีเป็นผลไม้ป่า ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ฟลาโวนอยด์และแอนโทไซยานิน ตลอดจนไฟเบอร์ ที่ช่วยทำให้ร่างกายชะลอความเสื่อมถอยของเซลล์ โดยเราควรกินบลูเบอร์รีเป็นอาหารวันละ 22-50 กรัม หากกินสดปริมาณแนะนำอยู่ที่ 178 กรัม และแบบแคปซูลที่ 100 มิลลิกรัมได้ในตลอดทั้งวัน แต่แนะนำให้กินในตอนเช้า เพื่อช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย สามารถกินได้ทั้งแบบสด แบบปรุงร่วมกับอาหาร นำมาปั่นเป็นน้ำ หรือจะกินแบบแคปซูลก็ได้ แต่ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะบลูเบอร์รีสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้9
ผสานคุณค่า วิตามิน
เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์