|
วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย ที่รู้จักกันดีคือช่วยเสริมภูมิต้านทานจากเชื้อไวรัสหวัด แต่นอกจากนั้น การกินวิตามินซีเป็นอาหารเสริม ยังมีส่วนช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีได้อีกด้วย
วิตามินซี (Vitamin C) คืออะไร
วิตามิน (Vitamin) มีรากศัพท์จากคำว่า Vita ที่มีความหมายว่า ชีวิต และ Amin ที่มีความหมายว่า จำเป็น ดังนั้น คำว่า Vitamin จึงหมายถึง สารที่มีความจำเป็นต่อชีวิตนั่นเอง
วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ เนื่องจากร่างกายต้องการวิตามินซีเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ เช่น การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต้านการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย อีกทั้งยังเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ช่วยลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นต่อกระบวนการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวอีกด้วย1
รู้หรือไม่?! ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นเองได้
เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นเองได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีจากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้น โดยมีผักผลไม้ที่เป็นแหล่ง Vitamin C ที่สำคัญ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มและมะนาว เบอร์รีชนิดต่างๆ รวมถึงผักบางชนิด อาทิ พริกหวาน บร็อกโคลี และ มะเขือเทศ เป็นต้น
ปริมาณวิตามินซี ต่อการบริโภคผักผลไม้ 100 กรัม*
อะเซโรลา เชอร์รี |
1677.6 มิลลิกรัม |
พริกหวาน |
127.7 มิลลิกรัม |
บรอคโคลี |
89.2 มิลลิกรัม |
ส้ม |
71 มิลลิกรัม |
สตรอว์เบอร์รี |
58.8 มิลลิกรัม |
เลมอน |
53 มิลลิกรัม |
เกรปฟรุต |
31.2 มิลลิกรัม |
มะเขือเทศ |
13.7 มิลลิกรัม |
ที่มา:USDA National Nutrient Database for Standard Reference
รวม 9 ประโยชน์ของวิตามินซีที่ไม่ควรมองข้าม
เมื่อทราบกันไปแล้วว่าวิตามินซีคืออะไร หากินได้จากผักและผลไม้ประเภทไหนได้บ้าง บทความนี้ยังได้รวบรวมเอาประโยชน์ของวิตามินซี ทั้งแบบกิน และวิตามินซีในสกินแคร์มาไว้ให้ด้วย จะมีประโยชน์อะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. วิตามินซีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นการสร้างและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการต้านการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย อีกทั้งยังสามารถลดการหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งจะช่วยลดน้ำมูก อาการแพ้ บวม แดง และคันได้อีกด้วย
2. วิตามินซีช่วยสร้างคอลลาเจน (Collagen)
แล้ววิตามินซีช่วยอะไรเกี่ยวกับผิวบ้าง? ผิวหนังของเรามีส่วนประกอบสำคัญที่เรียกว่า คอลลาเจน ที่ค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง และเกิดริ้วรอย วิตามินซีจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการบำรุงผิวและการชะลอวัย เนื่องจากวิตามินซีคือหนึ่งในวิตามินผิวขาวกระจ่างใส เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน โดยเฉพาะในชั้นผิวหนังที่เรียกว่า Dermis และ Epidermis ที่จะพบวิตามินซีในเนื้อเยื่อผิวสูง แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะพบว่าปริมาณวิตามินซีในเนื้อเยื่อเหล่านี้ลดน้อยลง ยิ่งเมื่อเผชิญกับมลภาวะต่างๆ อาทิ แสงแดด ฝุ่น ควันบุหรี่ หรือควันจากท่อไอเสียแล้ว ปริมาณวิตามินซีก็จะยิ่งลดลง
อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยพบว่าปริมาณวิตามินซีที่เรากินเข้าไป จะไปเพิ่มระดับวิตามินซีในชั้นผิวด้วย นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยลดภาวะเนื้อเยื่อผิวถูกทำลายจากรังสียูวีผ่านกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งแตกต่างจากครีมกันแดดทั่วไปที่จะดูดซับรังสียูวีไม่ให้เข้ามาทำลายชั้นผิว และวิตามินซียังมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสี เพื่อลดการสร้างเม็ดสีมากเกินไป จึงสามารถลดรอยดำ ผิวหมองคล้ำ ทำให้ผิวขาวและกระจ่างใสขึ้น
3. วิตามินซีช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาการเป็นหวัด (Common Colds)
จากผลงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าการกินวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 200 มิลลิกรัม จะช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นหวัด อีกทั้งวิตามินซียังเสริมภูมิคุ้มกันได้ ในขณะที่ผู้ที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ถึง 50% อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่เป็นหวัดแล้วจึงเริ่มกินวิตามินซี จะไม่สามารถลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัดได้เลย ดังนั้น จึงควรกินวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำทุกวัน
4. วิตามินซีเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
การใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินซีในรูปแบบของเซรั่ม มีส่วนช่วยบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้โดยตัววิตามินซีจะเข้าไปลดการสูญเสียน้ำในชั้นผิวหนัง ซึ่งทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผิวแลดูสุขภาพดี และไม่แห้งกร้าน4
5. วิตามินซีลดการอักเสบ รอยดำ และรอยแดงจากสิว
วิตามินซีมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดความแดงและบวมที่เกิดจากสิว แถมยังมีส่วนช่วยในการลดผลของเอนไซม์ไทโรซิน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการสร้างเมลานิน ที่ทำให้เกิดรอยดำบนผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างใส ลดเลือนรอยดำให้ดูจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวิตามินซีในครีมบำรุงผิวยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้สามารถลดเลือนรอยแดง เผยผิวดูขาวกระจ่างใสได้อีกด้วย5
6. วิตามินซีมีส่วนช่วยลดรอยหมองคล้ำใต้ตา
วิตามินซีในครีมบำรุงผิวรอบดวงตา มีส่วนช่วยลดการผลิตเมลานินที่เป็นต้นตอของปัญหาความหมองคล้ำใต้ตา ทำให้ผิวรอบดวงตาดูสว่างขึ้น พร้อมคุณสมบัติที่ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยลดความแดงและบวมในบริเวณรอบดวงตาที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอได้อีกด้วย4
7. วิตามินซีลดการสร้างเม็ดสี ป้องกันผิวหมองคล้ำ
ส่วนผสมวิตามินซีในครีมบำรุงผิว สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิน (tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างเมลานินได้ เมื่อการผลิตเมลานินลดลง โอกาสเกิดผิวหมองคล้ำก็จะลดลงไปได้ด้วยเช่นกัน6
8. วิตามินซีช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง (Chronic Disease)
วิตามินซีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระที่เกิดได้จากปัจจัยภายใน เช่น กระบวนการเผาผลาญอาหารให้ได้พลังงาน (Metabolism) ความเครียด และปัจจัยภายนอก อาทิ แสงแดด อาหาร ฝุ่นและควัน บุหรี่และแอลกอฮอล์ รวมถึงการออกกำลังกายอีกด้วย
หากสารอนุมูลอิสระเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและสร้างความเสียหายต่อส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคและความผิดปกติต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด อัลไซเมอร์ ต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม รวมถึงภาวะความแก่ชราอีกด้วย
9. วิตามินซีช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ
จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่กินวิตามินซีอย่างน้อย 700 มก. ต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 25% และวิตามินซียังมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิตได้อีกด้วย เพราะมีสรรพคุณผ่อนคลายหลอดเลือด ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงได้นั่นเอง3
กินวิตามินซีทั้งที ต้องเลือกให้ "พอดี"
เรารู้ดีว่าแหล่งวิตามินซีธรรมชาติมักอยู่ในผลไม้รสเปรี้ยวอย่าง มะนาว ส้ม ฝรั่ง มะขาม ดังนั้น หากเรากินผลไม้เหล่านี้ได้ครบและหลากหลายเพียงพอในแต่ละวัน การเสริมวิตามินซีก็อาจไม่จำเป็น แต่สำหรับคนที่กินผลไม้รสเปรี้ยวไม่ได้ อาจจะไม่สะดวกซื้อ หรือไม่ชอบรสชาติก็ตาม รวมทั้งผู้ที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาจเลือกกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ
ปริมาณที่เหมาะสมในการกินวิตามินซีในแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 500 มิลลิกรัมเพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ดี
ในทางตรงกันข้าม หากกินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมภายในครั้งเดียว ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีไปประมาณ 43.5% และขับออกทางปัสสาวะอีก 25% เนื่องจากปริมาณวิตามินซีในเลือดที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงว่า ร่างกายจะนำไปใช้ได้เพียงประมาณ 25% เท่านั้น
นอกจากนี้ ไม่ควรกินวิตามินซีมากกว่า 3,000 มิลลิกรัม เพราะจะทำให้ปวดท้อง มวนท้อง และท้องเสียได้ อย่างไรก็ตาม การกินวิตามินซีถือว่าปลอดภัยพอควร เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายจะขับออกมาทางปัสสาวะตามปกติ
"วิตามินซี" กับการ "ออกฤทธิ์นาน"
คุณอาจเคยได้ยินหรือเคยเห็นฉลากหรือเอกสารกำกับยาที่ระบุว่า “Extended Release, Controlled Release, Sustained Release, Modified Release, Slow Release Technology” ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ “การออกฤทธิ์” ของยาด้วยการควบคุมให้แตกตัวและดูดซึมในอวัยวะเป้าหมาย หรือค่อยๆ “ปลดปล่อย” ตัวยาออกมาในปริมาณที่สม่ำเสมอเป็นเวลานาน 4 หรือ 8 ชั่วโมง ปัจจุบันยาที่ผสมผสานนวัตกรรมนี้ ได้แก่ ยาระงับปวดชนิด Tramadol ยากันชัก และวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน ที่ตอบโจทย์ผู้ที่ขาดวิตามินซีได้เป็นอย่างดี
วิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน VS. ออกฤทธิ์สั้น
- วิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน ปลดปล่อยสารสำคัญอย่างช้าๆ และคงที่ต่อเนื่องนาน 8 ชั่วโมง
- วิตามินซีชนิดออกฤทธิ์สั้น จะปลดปล่อยสารสำคัญในครั้งเดียว ทำให้มีระดับวิตามินซีสูงและคงอยู่เพียง 2 ชั่วโมง
ประโยชน์เด่นๆ ของวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นานก็คือ
- ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
- ช่วยลดปัญหาการระคายเคืองกระเพาะอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร
- ลดความถี่ในการกินวิตามินซีลง
อย่างไรก็ตาม ควรกินวิตามินซีในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควบคู่ไปกับการกินผักและผลไม้ปกติ ซึ่งให้วิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ร่างกายต้องการ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพโดยรวมที่ดีนั่นเอง
รู้หรือไม่ การสูบบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีในปริมาณเท่ากับส้มเขียวหวานราว 1 ผล!
สรุป
วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ลดความรุนแรงและระยะของการเป็นหวัด ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ วิตามินซีในครีมทาผิวยังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างคอลลาเจน เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ รอยดำ และรอยแดงจากสิว พร้อมลดโอกาสเกิดรอยหมองคล้ำใต้ตาได้อีกด้วย ทั้งนี้ แม้วิตามินซีธรรมชาติมักอยู่ในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม ฝรั่ง มะขาม แต่สำหรับคนที่กินผลไม้รสเปรี้ยวไม่ได้ อาจจะไม่สะดวกซื้อ หรือไม่ชอบรสชาติก็ตาม ก็สามารถเลือกกินอาหารเสริมวิตามินซีได้ด้วยเช่นกัน