สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หรือ เกรปซีด (Grape Seed) มีสรรพคุณในการสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงระบบหมุนเวียนเลือด สร้างคอลลาเจน บำรุงกระดูก บำรุงสมอง ตับ ไต ยับยั้งเชื้อรา ต้านมะเร็ง และช่วยสมานแผล
Grape Seed คืออะไร?
องุ่นนอกจากจะนำเนื้อไปกินหรือทำเป็นเครื่องดื่มไว้ดื่มแล้ว ยังมีการนำเมล็ดองุ่น หรือ Grape Seed มาใช้เป็นยาหรือสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสารโอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Oligomeric Proanthocyanidins) หรือ OPCs ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยป้องกันโรคและป้องกันไม่ให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายถูกทำลายจากอนุมูลอิสระได้6 จึงนิยมนำมาสกัดจนเป็นสารสกัดจากเมล็ดองุ่น หรือ Grape Seed Extract โดยส่วนใหญ่สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมักได้มาจากเมล็ดที่อยู่ในองุ่นพันธุ์ Vitis vinifera เป็นองุ่นป่าที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลางและตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียบริเวณทะเลคัสเปียน10 นิยมปลูกเพื่อกินแบบสดๆ นำไปหมักทำไวน์ แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงนำมาทำเป็นสารสกัดเพื่อใช้ในทางการแพทย์
ประโยชน์ของสารสกัดเมล็ดองุ่น
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นแหล่งรวมวิตามิน แร่ธาตุ กรดไขมัน และสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ ดังนี้
สร้างคอลลาเจน และบำรุงกระดูก
สารฟลาโวนอยด์ในเมล็ดองุ่นมีประโยชน์ในการเสริมสร้างมวลกระดูก ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก (Osteoclast) และยับยั้งการการทำงานของเซลล์สลายกระดูก (Osteoblast)2 จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ลดการอักเสบเรื้อรังและการทำลายกระดูกจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อีกทั้งยังจับกับโครงสร้างคอลลาเจนโดยตรง และช่วยยับยั้งเอนไซม์คอลลาจีเนส (Collagenase) และอิลาสเตส (Elastase) ที่เป็นตัวการทำลายคอลลาเจน
บำรุงจากภายในเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ
Woman says YES!
สร้างภูมิคุ้มกัน
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด โดยเฉพาะสารโปรแอนโทไซยานิดิน (Proanthocyanidins) ไฟโตนิวเทรียนท์กลุ่มฟลาโวนอยด์ สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน1 ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพ ยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
ช่วยเรื่องระบบไหลเวียนเลือด
สามารถนำพาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดี เช่น รากผม โคนเล็บ ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) และเบต้า-กลูคิวโรนิเดส (Beta-glucuronidase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำให้เกิดการเสื่อมหรือเกิดการตายของผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดบางและฉีกขาดง่าย
ดังนั้นสารสกัดจากเมล็ดองุ่นจึงช่วยยับยั้งการทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ความดันโลหิตลดลง ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด รวมถึงป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
ลดคอเลสเตอรอล
สารสกัดเมล็ดองุ่นมีส่วนช่วยลดระดับ LDL-Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดี รวมถึงช่วยยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันในหลอดเลือด จากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปกติของผนังหลอดเลือด และทำให้หลอดเลือดตีบ แตก หรืออุดตันได้
บำรุงสมอง
กรดแกลลิก (Gallic acid) ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ในเมล็ดองุ่น มีคุณสมบัติเป็นทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ ช่วยบำรุงสมอง ชะลอและป้องกันความเสื่อมของระบบประสาท ป้องกันการจับตัวของโปรตีนที่ชื่อว่าเบต้าอะไมลอยด์ (Beta-amyloid) กับเซลล์สมอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม และนำไปสู่โรคอัลไซเมอร์3
ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์สมองเสื่อม และนำไปสู่โรคอัลไซเมอร์3โดยผลจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า ผู้สูงอายุที่ได้รับสารสกัดจากเมล็ดองุ่นวันละ 250 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 12 สัปดาห์ มีภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลลดลง ในขณะที่มีพัฒนาการทางด้านสมาธิ ความจำ รวมถึงการใช้ภาษาที่ดีขึ้น4
ช่วยบำรุงไต
เมล็ดองุ่นมีสารโพลีฟีนอล ที่ช่วยเสริมการทำงานของไตให้มีประสิทธิภาพ ปกป้องไตจาก Oxidative stress หรือภาวะที่ร่างกายมีอนุมูลอิสระมากเกินสมดุลจนทำให้เกิดการอักเสบ และส่งผลต่อการทำงานของไต นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่า สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีส่วนช่วยลดการอักเสบ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไตในกลุ่มผู้ป่วยไตเรื้อรังได้อีกด้วย5
ช่วยบำรุงตับ
ผลจากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่มีไขมันพอกตับ เมื่อได้รับสารสกัดจากเมล็ดองุ่นติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน มีค่า ALT ที่เป็นตัวบ่งชี้ความผิดปกติในเซลล์ตับและภาวะตับอักเสบลดลงถึง 46%6 เนื่องจากเมล็ดองุ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันและลดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้
ยับยั้งเชื้อรา
เมล็ดองุ่นสกัดมีสรรพคุณเป็นยาแผนโบราณใช้รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อรา เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์ปริมาณสูง ช่วยออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ และยับยั้งเชื้อราแคนดิดา (Candida)7 ซึ่งเป็นเชื้อยีสต์ที่มีในร่างกายทุกคน แต่หากมีจำนวนมากกว่าปกติจะก่อให้เกิดโรค เช่น เชื้อราในช่องคลอด เชื้อราในช่องปาก เป็นต้น ผลจากการวิจัยพบว่า เมื่อให้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นกับตัวทดลองที่ติดเชื้อราในช่องคลอดติดต่อกันทุก 2 วัน เชื้อลดลงภายใน 5 วัน และหายดีภายใน 8 วัน6
ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีประสิทธิภาพช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งในเต้านม ปอด ตับ กระเพาะอาหาร ช่องปาก และต่อมลูกหมาก อีกทั้งยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่ระบุว่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่นช่วยลดผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด8 เช่น ลดความเป็นพิษต่อตับจากการใช้ยา Doxorubicin (Dox) ที่ส่งผลกระทบต่อตับและหัวใจในผู้ป่วยมะเร็งด้วย9
ช่วยสมานแผล
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายไวได้ ผลการทดลองในกลุ่มผู้ที่มีแผลผ่าตัดขนาดเล็กจำนวน 35 คน พบว่าผู้ที่ใช้ครีมที่มีสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 2% แผลหายภายใน 8 วัน และหายเร็วกว่าผู้ที่ใช้ยาหลอกถึง 6 วัน6
วิธีกินสารสกัดจากเมล็ดองุ่น
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีจำหน่ายหลายรูปแบบ ทั้งในรูปแบบแคปซูล ยาเม็ด ของเหลว ปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 100 มิลลิกรัม โดยรับประทานครั้งละ 50 มิลลิกรัม ช่วงเช้าและเย็น แต่หากมีโรคประจำตัว หรือต้องกินยาชนิดอื่นอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการกินสารสกัดจากเมล็ดองุ่นในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด หรือก่อนเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากจะส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด และไม่ควรกินคู่กับยาลดความดันโลหิต ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin (Coumadin), Clopidogrel (Plavix) รวมถึงแอสไพริน เพราะจะออกฤทธิ์ซ้ำซ้อนกัน
บำรุงจากภายในเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ
Woman says YES!
ผลข้างเคียงที่ควรระวังจากการกินสารสกัดจากเมล็ดองุ่น
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนซื้อมากิน เพราะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้ เวียนหัว ปวดศีรษะ ปวดท้อง อาการแพ้ในผู้ที่แพ้องุ่น เป็นต้น
สรุป
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระที่ปริมาณสูง ช่วยต้านการอักเสบ และลดภาวะ Oxidative stress ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ อีกทั้งยังช่วยบำรุงสมอง หัวใจ กระดูก ตับ ไต ระบบไหลเวียนโลหิต ฯลฯ แต่ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์ หรือสอบถามแพทย์และเภสัชกรก่อนเพื่อความปลอดภัย