Grapefruit (เกรปฟรุต) เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะไฟเบอร์ วิตามินซี และวิตามินเอ ที่จะช่วยในเรื่องลดน้ำหนัก ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และดูแลสุขภาพของดวงตา
Grapefruit คืออะไร
Grapefruit คือ ลูกผสมระหว่างส้มโอ และส้มเช้ง เป็นผลไม้เขตร้อนที่พบได้ในแถบแคริบเบียน อุดมไปด้วยวิตามินซีที่มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระ สร้างคอลลาเจน และที่สำคัญคือช่วยในการลดน้ำหนัก เรียกได้ว่าเหมาะสำหรับสายรักสุขภาพเลยทีเดียว นอกจากนี้ Grapefruit ยังมีสายพันธุ์แยกย่อยที่พบเห็นได้บ่อยคือ Grapefruit สีชมพู และ Grapefruit สีขาว โดยประโยชน์ของ Grapefruit นั้นมีอยู่หลากหลายเช่นกัน เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุมากมาย
ประโยชน์ของ Grapefruit มีอะไรบ้าง
Grapefruit เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกาย ดังนี้
ช่วยลดน้ำหนัก
Grapefruit เป็นผลไม้ที่เหมาะในการช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะ Grapefruit มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยคือ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย และให้พลังงานแคลอรี่เพียงแค่ 52 Kcal เท่านั้น1 นอกจากนี้ Grapefruit ยังมีปริมาณไฟเบอร์ที่พอดีต่อความต้องการของร่างกาย Grapefruit จึงเป็นผลไม้ที่ช่วยปรับสมดุลการลดน้ำหนักได้ดี
นอกจากนี้ มีการศึกษาทดลองโดยให้อาสาสมัครกิน Grapefruit สดๆ ครึ่งผลก่อนมื้ออาหารเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครที่กิน Grapefruit สดครึ่งผลนั้นมีน้ำหนักลงมากที่สุดคือ 1.6 กิโลกรัม จึงสรุปได้ว่า Grapefruit มีส่วนช่วยในการในการลดน้ำหนัก และลดระดับอินซูลินได้อย่างมีนัยสำคัญ5
Grapefruit กับโรคหัวใจ
Grapefruit ดีต่อสุขภาพหัวใจ เพราะมีสารอาหารทั้งวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะโพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และสามารถลดความดันโลหิตสูงได้ อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ หรือใยอาหารที่จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้
จากงานวิจัยได้กล่าวไว้ว่า การกิน Grapefruit ต่อเนื่องเป็นประจำมีส่วนช่วยป้องกันทั้งโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองได้2 มีงานวิจัยที่ได้ทดลองให้อาสาสมัครกิน Grapefruit วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่า ค่าความดันโลหิตมีอัตราลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และระดับคอเลสเตอรอลรวมกับระดับ LDL นั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอีกด้วย3
Grapefruit ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
Grapefruit ยังมีประโยชน์ที่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน เพราะมีวิตามิน A ตัวช่วยสำคัญที่มีส่วนทำให้ลดการอักเสบให้กับร่างกาย
นอกจากนี้ ยังมีสารสำคัญที่ชื่อว่า นารินเจนิน (Naringenin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์ พบได้มากในพืชตระกูลส้ม เช่น Grapefruit หรือเบอร์รี่ เป็นต้น ซึ่งนารินเจนินนั้นมีคุณสมบัติสำคัญ คือช่วยลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้อีกด้วย
โดยกลไกการทำงานของนารินเจนิน จะช่วยยับยั้งการทำลายเซลล์เพราะสารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อได้รับในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกายเป็นประจำ นารินเจนินจะเข้าไปช่วยลดความเสียหายของเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งยังช่วยชะลอความชราของเซลล์ได้อีกด้วย
ดูแลสุขภาพพื้นฐาน
ไฟโตนิวเทรียนท์จากธรรมชาติ
Grapefruit กับโรคเบาหวาน
Grapefruit ช่วยลดการเกิดโรคเบาหวาน และช่วยให้อาการในโรคเบาหวานดีขึ้นได้ เพราะคุณสมบัติสำคัญของ Grapefruit คือ สามารถช่วยป้องกันภาวะดื้ออินซูลินในร่างกายได้ เพราะปกติแล้วอินซูลินมีหน้าที่คอยควบคุมการเผาผลาญ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน จะเกิดเป็นภาวะที่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่ตอบสนองกับอินซูลิน ทำให้ระดับอินซูลินในร่างกายรวมทั้งน้ำตาลสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ขึ้นได้นั่นเอง4
Grapefruit กับโรคนิ่วในไต
Grapefruit ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนิ่วในไตได้ โดยสาเหตุของโรคนิ่วในไตนั้นเกิดจากการสะสมของเสียต่างๆ แล้วเกิดการตกผลึกที่ไต เกิดการอุดตันที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดเป็นนิ่วในไตนั่นเอง ซึ่ง Grapefruit มีสารสำคัญคือ กรดซิตริก มีส่วนสำคัญที่จะช่วยยับยั้งการเกิดนิ่วในไตได้ โดยจะเข้าไปเพิ่มปริมาณน้ำปัสสาวะ และปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง6 เพราะฉะนั้น การกิน Grapefruit เป็นประจำมีส่วนสำคัญในการลดโอกาสการเกิดโรคนิ่วในไตได้นั่นเอง
ข้อแนะนำในการกิน Grapefruit มีอะไรบ้าง
Grapefruit มีสรรพคุณมากมายต่อร่างกาย สามารถเลือกกินได้ทั้งแบบสด และนำมาประกอบอาหาร โดยข้อแนะนำสำหรับการกิน Grapefruit มีดังนี้
- เลือกซื้อ Grapefruit ที่สดใหม่ จะต้องเลือกผลที่มีเนื้อข้างในแน่น บริเวณเปลือกมีความยืดหยุ่นเล็กน้อย จะทำให้เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานมากขึ้น
- การกิน Grapefruit ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรกินแบบเดียวกับส้มที่เรากินกันทั่วไป คือปอกเปลือกนอกออกก่อนแล้วกินเนื้อข้างใน เพื่อให้ร่างกายได้รับเพคติน (Pectin) หรือเยื่อสีขาวรอบๆ ผลของ Grapefruit เพราะมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย และเพิ่มกากใยอาหารให้มากขึ้นอีกด้วย
- หากผ่าครึ่ง Grapefruit แล้ว ควรกินอีกครึ่งที่เหลือให้หมดภายใน 2 วัน
- หากไม่อยากกิน Grapefruit แบบสด ก็สามารถทำเป็นเมนูง่ายๆ อย่าง “สลัด” กินกับผัก หรือผลไม้ชนิดอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน
- Grapefruit สามารถนำไปทำเป็นน้ำผลไม้คั้นสด หรือน้ำผลไม้ปั่นกินได้
- Grapefruit สามารถกินแบบสดๆ ได้ง่ายขึ้น ด้วยการผ่าครึ่งผล แล้วโรยด้วยน้ำตาล หรือน้ำผึ้ง
ข้อควรระวังในการบริโภค Grapefruit มีอะไรบ้าง
Grapefruit มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายด้าน การกิน Grapefruit เป็นอาหาร หรือเครื่องดื่มในปริมาณปกตินั้นปลอดภัย แต่สำหรับคนบางกลุ่มนั้นจำเป็นต้องระวังในการกิน Grapefruit มากเป็นพิเศษเช่นกัน ได้แก่
- สตรีมีครรภ์ และสตรีที่กำลังให้นมบุตร เพราะในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่า Grapefruit นั้นปลอดภัยต่สตรีมีครรภ์ และเด็กทารก เพราะฉะนั้น หลีกเลี่ยงไว้ก่อนจะดีกว่า
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม มีงานวิจัยระบุว่าการกินน้ำ Grapefruit มากเกินไป และกินเป็นประจำทุกวันอาจส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็งได้7
- ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมน ควรระวังการกิน Grapefruit มากเป็นพิเศษ เพราะอาจส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น และอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
นอกจากนี้ ควรระวังสำหรับการกิน Grapefruit คู่กับยาบางประเภท เพราะใน Grapefruit มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ Cytochrome P450 ซึ่งส่งผลต่อการย่อยสลายยาบางประเภท เพราะฉะนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกิน Grapefruit เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจกิน Grapefruit โดยยาที่ไม่ควรกินคู่กับ Grapefruit มีดังนี้
- ยากลุ่ม Statin ยาลดระดับไขมันในเลือด
- ยากลุ่ม Calcium Channel Blockers ยาลดความดันโลหิต
- ยากลุ่ม Benzodiepines ยาต้านโรคซึมเศร้า ยาทางจิตเวช
- ยาแก้แพ้กลุ่ม Antihistamine
- ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant)
โดยเหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยงการกินยาบางชนิดร่วมกับ Grapefruit ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นได้ กล่าวคือ กระบวนการกำจัดยาตามธรรมชาติของร่างกายอาจถูกยับยั้ง ทำให้ยาตกค้างในร่างกาย ระดับยาในเลือดอาจเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตับ และไตได้
Grapefruit กับ Pomelo ต่างกันอย่างไร
Grapefruit
ผลกลม เปลือกเหลือง-ส้ม
เนื้อส้ม-แดง
Pomelo
ผลหยดน้ำ เปลือกเขียว
เนื้อขาว
Grapefruit กับ Pomelo หรือส้มโอ มีความแตกต่างกันทั้งในลักษณะของรูปร่าง และรสชาติ โดยรูปร่างของ Grapefruit จะมีลักษณะกลมมากกว่า และมีเปลือกสีเหลืองไปจนถึงสีส้มสด เนื้อมีสีส้มไปจนถึงสีแดง รสชาติเปรี้ยวไปจนถึงขม แต่ในส่วนของ Pomelo หรือส้มโอนั้นมีลักษณะเป็นรูปหยดน้ำ ไม่กลมเหมือน Grapefruit มีขนาดผลใหญ่กว่า เปลือกสีเขียว และเนื้อสีขาว รสชาติจะหวานกว่า Grapefruit
ในเรื่องของความแตกต่างด้านสารอาหารทั้ง Grapefruit และ Pomelo ต่างก็เป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำเหมือนกัน แต่ในเรื่องของวิตามินนั้น Grapefruit ถือว่าอุดมไปด้วยวิตามินที่หลากหลายกว่าส้มโอ เพราะมีทั้งวิตามิน C วิตามิน A และวิตามิน B ในขณะที่ Pomelo หรือส้มโอนั้นมีวิตามิน C สูงกว่า Grapefruit ถึง 2 เท่าก็จริง แต่ไม่มีวิตามิน A เป็นสารอาหารเลย
ดูแลสุขภาพพื้นฐาน
ไฟโตนิวเทรียนท์จากธรรมชาติ
สรุป
Grapefruit เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในเรื่องการช่วยลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน ความดันโลหิต โรคหัวใจ รวมถึงโรคนิ่วในไตได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ Grapefruit จะมีประโยชน์มากมาย แต่ในกลุ่มสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือสตรีที่กำลังให้นมบุตร รวมถึงผู้ป่วยโรคมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมน ควรกินอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย และเป็นการเสริมสร้างให้ร่างกายได้รับประโยชน์จาก Grapefruit มากที่สุดนั่นเอง