อยากมีผิวใส ต้องเติมน้ำให้ผิวด้วยกรดไฮยาลูรอนิก ซึ่งร่างกายสามารถสร้างเองได้หากมีสมดุลของอาหารผิวอย่างโพรไบโอติก ไฮยาลูรอนที่ช่วยกักเก็บน้ำใต้ชั้นผิวก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
กรดไฮยาลูรอนิก คืออะไร
กรดไฮยาลูรอนิก คือสารชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นของเหลวข้นเหนียว มักจะพบบริเวณผิวหนัง ดวงตา และข้อต่อต่างๆ มีคุณสมบัติเด่นที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้น เพราะสามารถกักเก็บน้ำได้ดี ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราสามารถสร้างกรดไฮยาลูรอนิกขึ้นเองได้ แต่จะผลิตได้น้อยลง สวนทางกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นที่มาของการเกิดริ้วรอยแห่งวัย

การทำงานของไฮยาลูรอนิก
กรดไฮยาลูรอนิกมีลักษณะคล้ายสายโซ่เส้นยาว จึงมีร่องหรือรูเล็กๆ ที่กักเก็บน้ำหรือสารต่างๆ ได้มากเป็นพิเศษ และส่งผ่านไปยังเซลล์ต่างๆ ได้ทั่วร่างกาย โดยผลจากการวิจัยพบว่า กรดไฮยาลูรอนิกแค่เพียง 1 ใน 4 ช้อนชา สามารถอุ้มน้ำได้มากถึง 1.5 แกลลอน1 ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเท่านั้น แต่ยังยึดเกาะกับเซลล์ผิว ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่น มีส่วนช่วยในกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้แผลหายเร็ว ลดการเกิดแผลเป็น และยังเป็นสารหล่อลื่น ที่ช่วยลดการเสียดสีของกระดูกข้อต่อได้อีกด้วย
วิธีใช้กรดไฮยาลูรอนิก เพื่อสุขภาพผิวที่ดี
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการใช้กรดไฮยาลูรอนิกในรูปแบบของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แต่ความจริงแล้วกรดไฮยาลูรอนิกยังสามารถนำมาใช้ดูแลสุขภาพได้หลายวิธี ดังนี้

ทาลงบนผิว
กรดไฮยาลูรอนิกแบบทา ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมักนำมาใช้เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ หรือเครื่องสำอาง เช่น ครีมบำรุงผิว เซรั่ม สบู่ แชมพู ฯลฯ ซึ่งจะให้ประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงผิวเป็นหลัก ช่วยมอบความชุ่มชื้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น ไม่แห้งกร้าน ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึก ผิวจึงแลดูสุขภาพดีและอ่อนเยาว์
โดยการฉีด
กรดไฮยาลูรอนิกแบบฉีด นิยมใช้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ เช่น ข้อเสื่อม ข้ออักเสบ โดยแพทย์จะฉีดเข้าไปบริเวณข้อต่อ เพื่อให้กรดไฮยาลูรอนิกทำหน้าที่เสมือนน้ำมันที่ช่วยหล่อลื่น ลดการเสียดสี นอกจากนี้แพทย์ยังอาจใช้กรดไฮยาลูรอนิกเป็นทางเลือกในการบรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบด้วย1
วิธีกิน
กรดไฮยาลูรอนิก สามารถกินได้ โดยถูกนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ซึ่งการใช้กรดไฮยาลูรอนิกในรูปแบบกินนี้ จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์ทั้งในเรื่องของผิวพรรณและการบำรุงข้อต่อไปพร้อมกัน
โพรไบโอติกช่วยสร้างกรดไฮยาได้อย่างไร
หน้าที่ของโพรไบโอติก นอกจากจะปรับสมดุลของลำไส้แล้ว ยังเป็นเหมือนโรงงานในลำไส้ที่ช่วยผลิตสารสำคัญต่างๆ โดยหนึ่งในโพรไบโอติกสายพันธุ์ที่ช่วยสร้างอาหารผิว คือสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า Streptococcus Thermophilus TCI 633 ซึ่งสามารถสร้างกรดไฮยาลูรอนิกขึ้นเองได้ในลำไส้ และกรดไฮยาลูรอนิกเหล่านี้ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผ่านไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ดวงตา ข้อเข่า รวมถึงผิวหนัง จึงช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น กระจ่างใส รูขุมขนกระชับ และลดเลือนริ้วรอยต่างๆ
ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า การกิน Streptococcus Thermophilus TCI 633 ทุกวันเป็นเวลาติดต่อกัน 8 สัปดาห์ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และทำให้สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้น2

โพรไบโอติกไฮยาช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ใส Blink ได้อย่างไร
ในร่างกายของคนเรามีแบคทีเรียอยู่มากมายทั้งชนิดที่ดีและไม่ดี ซึ่งโพรไบโอติกไฮยาจะทำหน้าสร้างกรดไฮยาลูรอนิก และช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ให้เหมาะสม เพื่อให้ลำไส้สามารถดูดซึมกรดไฮยาลูรอนิกและสารสำคัญอื่นๆ เข้าสู่กระแสเลือด และนำไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงผิวของเรานั่นเอง
เมื่อสุขภาพลำไส้ดี ผนังลำไส้แข็งแรง ก็จะสามารถลดการเกิดสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้ผ่านเข้าไปในร่างกาย โพรไบโอติกไฮยาจึงมีส่วนช่วยป้องกันและรักษาโรคผิวหนัง เช่น ลดการอักเสบของผิว ลดสิวอักเสบ ภูมิแพ้ กลาก3 ได้ด้วย เมื่อปัญหาผิวเหล่านี้ลดลงหรือหมดไป สุขภาพผิวก็จะดีขึ้น และผิวก็จะกลับมาเนียนใส แข็งแรงอีกครั้ง
สารอื่นๆ ที่ทำให้ผิวสวย เรียบเนียนกระจ่างใส
นอกจากโพรไบโอติกที่เป็นอาหารผิวชั้นยอดแล้ว ก็ยังมีสารชนิดอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวด้วยเช่นกัน ซึ่งหากทำงานร่วมกัน จะยิ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแลผิวได้แบบรอบด้าน ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เช่น

คอลลาเจน
คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิด พบมากในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่เพิ่มความยืดหยุ่น และเสริมโครงสร้างผิวแข็งแรง ผิวจึงเรียบเนียน นุ่มเด้ง แลดูอ่อนเยาว์ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยฟื้นฟูผิวบริเวณที่บาดเจ็บหรือเกิดแผล แต่ก็เช่นเดียวกับกรดไฮยาลูรอนิก แม้ร่างกายจะสามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายก็จะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ผิวจึงเกิดความหย่อนคล้อยตามวัย ปัจจุบันจึงมีการเติมคอลลาเจนเสริมทั้งในรูปแบบกิน ฉีด และทา
เซราไมด์
เซราไมด์ เป็นกรดไขมันที่ทำหน้าที่เหมือนสารเคลือบผิวชั้นนอก ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น และป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิวมากจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากฝุ่น มลภาวะ และสารเคมีต่างๆ จึงช่วยให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี ลดอาการผิวแห้ง ลอก คัน ซึ่งนำไปสู่การอักเสบ ระคายเคือง และต้นตอของปัญหาผิวนานัปการ เช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่น ผื่นแพ้ หรือโรคผิวหนัง โดยส่วนใหญ่จะนิยมนำไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อใช้ทา และอาหารเสริมที่กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติ
วิตามินซี
วิตามินซี มีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต จึงทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้มากขึ้น ผิวพรรณจึงดูเรียบเนียน กระจ่างใส จุดด่างดำแลดูจางลง นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี และมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ชะลอการเกิดริ้วรอย ร่องลึก ตีนกา และช่วยให้ผิวแลดูกระชับมากยิ่งขึ้น ส่วนมากการนำวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย จะเป็นอยู่ในรูปแบบของการกิน เพราะสามารถพบได้จากผลไม้ที่เรากินอยู่เป็นประจำ
สรุป
แม้ว่าอายุที่มากขึ้น จะทำให้ร่างกายผลิตกรดไฮยาลูรอนิกได้น้อยลง แต่ก็ยังสามารถเพิ่มปริมาณกรดไฮยาลูรอนิกได้ด้วยการกินโพรไบโอติกไฮยาเข้าไปเป็นกำลังเสริม เพราะโพรไบโอติกไฮยาเป็นจุลินทรีย์ชนิดดี ที่นอกจากจะมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตกรดไฮยาลูรอนิกขึ้นเองได้ในลำไส้ และดูดซึมไปใช้ทั่วร่างกาย เมื่อผิวมีกรดไฮยาลูรอนิกมากพอ ก็จะมีความชุ่มชื่น เนียนใส สุขภาพดี และยังช่วยลดปัญหาผิวต่างๆ ได้อีกด้วย