ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีการใช้งานมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีต นิยมใช้ปรุงอาหารเพื่อแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ และในทางการแพทย์ มีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ และลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ขมิ้นชัน เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นเหง้าใต้ดิน มีแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศแถบเขตร้อน แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และในแอฟริกาบางส่วน ปลูกมากที่สุดในอินเดีย ประเทศไทยเองก็เป็นแหล่งปลูกขมิ้นชันเช่นกัน
โดยเฉพาะในภาคใต้ มีการใช้ประโยชน์จากขมิ้นชันหลายอย่าง ทั้งการนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร เนื่องจากมีสีเหลืองสวยงามและยังมีกลิ่นหอมและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ นอกจากนั้นขมิ้นชันยังเป็นสมุนไพรประจำบ้าน ที่ใช้รักษาอาการต่างๆ ได้ เป็นสมุนไพรที่ใช้มายาวนานตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
สรรพคุณโดดเด่นของขมิ้นชันที่หลายคนพอทราบอยู่บ้าง คือ การใช้เป็นยารักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม ต่อมาได้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม พบว่าขมิ้นชันนั้นมีสรรพคุณที่มากไปกว่านั้น เพราะขมิ้นชันมีคุณประโยชน์ที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ ได้หลายประการ โดยเฉพาะอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง เบาหวาน ไขข้อเสื่อม
ซึ่งสรรพคุณเบื้องต้นและวิธีการใช้ขมิ้นชันเพื่อการรักษาอาการผิดปกติของร่างกาย มีดังนี้
![คุณสมบัติกับสรรพคุณของขมิ้นชัน](https://images.contentstack.io/v3/assets/blt354ee7f3d82425c3/blte6e583e409bc91ce/6480014da45fcd0e0a05b5f6/amway-Nutrilite-may-3-2-edit.jpg)
คุณสมบัติกับสรรพคุณของขมิ้นชัน1
ขมิ้นชันมีสารประกอบทางเคมีที่สำคัญอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (Curcuminoids) ได้แก่ Curcumin, monodesmethoxycurcumin และ bisdesmethoxycurcumin และกลุ่มที่ 2 คือน้ำมันระเหยง่าย (Volatile oil) มีสีเหลืองอ่อน มีสารสำคัญ คือ Monoterpenoids และ Sesquiterpenoids ที่เป็นส่วนประกอบของยารักษาอาการหลายชนิด ทั้งนี้ สรรพคุณการรักษาของขมิ้นชันมีหลายประการ2 ได้แก่
เสริมภูมิคุ้มกัน
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ด้วยสารเคอร์คิวมิน (Curcumin) ในขมิ้นชัน มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันผ่านแอนติบอดี้ให้สามารถต่อสู้กับแอนติเจนที่อาจเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางผิวหนัง การหายใจ และระบบทางเดินอาหาร
ลดไข้ ต้านไวรัส
ขมิ้นชันช่วยป้องกันและยับยั้งไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ในระบบหายใจและผิวหนัง ลดการคัดจมูก และผดผื่นแบบไม่รุนแรงได้ ทั้งยังสามารถลดไข้ได้ด้วย
ต้านการอักเสบ ลดปวดไขข้อ
สรรพคุณของสารเคอร์คิวมินในขมิ้นชันช่วยลดการอักเสบและสารเคอร์คิวมินอย ช่วยลดการเจ็บปวด โดยเฉพาะข้อเข่าเสื่อม เก๊าท์ และรูมาตอยด์ ซึ่งการระงับความปวดนั้นเทียบเท่ากับการใช้ยาไอโพรบูเฟนเลยทีเดียว
ล้างพิษตับ
ขมิ้นชันมีสรรพคุณที่ดีในการล้างตับ เนื่องจากเคอร์คิวมิน (Curcumin) ทำหน้าที่ในการลดไขมันพอกตับ ลดการเกิดพังผืดในตับ ป้องกันอาการตับแข็ง ยับยั้งการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ฟื้นฟูเซลล์ตับจากสารพิษตกค้างในยา
รักษาโรคผิวหนัง บำรุงผิว
สารเคอร์คิวมินในขมิ้นชันช่วยยับยั้งการอักเสบของร่างกาย จึงช่วยลดอาการคันบนผิวหนังได้ ตามภูมิปัญญาของคนไทยโบราณใช้ขมิ้นชันเพื่อช่วยลดอาการเกี่ยวกับผิวหนังกลาก เกลื้อน โดยการใช้ขมิ้นชันทั้งแบบเหง้าสดโขลกละเอียดและแบบตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำ ทาไว้บริเวณผิวหนังที่เป็นกลากเกลื้อนทุกวัน วันละ 2 ครั้ง หรืออาจบดเป็นผง แล้วนำมาขัดพอกผิวเพื่อให้ผิวนุ่มนวล กระจ่างใส สุขภาพผิวแข็งแรง
แก้ท้องร่วง
ขมิ้นชันช่วยต่อต้านแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร จึงรักษาอาการท้องร่วงได้ เป็นยารักษาที่หาได้ใกล้ตัว เพียงนำขมิ้นชันไปหั่น แล้วตำผสมน้ำเปล่า คั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ จะช่วยให้อาการท้องร่วงดีขึ้น
ช่วยขับลม ลดการจุกเสียด แน่นท้อง
เนื่องจากในขมิ้นชันมีสารที่ช่วยเพิ่มเอนไซม์ในการย่อยได้ จึงเป็นสมุนไพรไทยที่สามารถขับลม ลดอาการจุกเสียดแน่นท้องได้เมื่อนำมาผ่านความร้อน หรือปรุงในอาหาร
รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
ขมิ้นชันสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยการหลั่งสารมิวซิน ช่วยให้เกิดการเคลือบกระเพาะอาหารและป้องกันกรด พร้อมทั้งยังช่วยยับยั้งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารด้วย จึงเป็นการป้องกันและรักษากระเพาะอาหารได้อย่างดีทีเดียว
ช่วยชะลอวัย ต้านอนุมูลอิสระ3
คุณประโยชน์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของขมิ้นชัน คือ การต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ และอื่นๆ ขมิ้นชันมีสรรพคุณชะลอวัยในแง่ของการลดการอักเสบ เพิ่มเอนไซม์กระตุ้นการกำจัดอนุมูลอิสระในเลือด
รักษาริดสีดวง
ขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคและลดการอักเสบ จึงนำมาใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร โดยการนำผงชมิ้นชันมาทาบริเวณหัวริดสีดวง จะช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น และยังมีสรรพคุณในการสมานแผลอีกด้วย
แก้พิษแมลง กัด ต่อย
เมื่อเป็นแผลรอยแดงจากการโดนพิษของแมลงกัดต่อย สามารถใช้ชมิ้นชันช่วยบรรเทาอาการได้ โดยการนำผงชมิ้นชันเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวจนกลายเป็นยาทาสำหรับรักษาแผล หรือนำผงชมิ้นชันไปแช่ผสมกับน้ำปูนใสมาพอกบริเวณแผลก็ได้เช่นกัน
ช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด
ขมิ้นชันมีสารไฟโตสเตอรอล ซึ่งมีสรรพคุณช่วยยับยั้งคอเลสเตอรอล พร้อมทั้งมีฤทธิ์ในการลดไขมันในเส้นเลือด เมื่อระดับไขมันในเส้นเลือดลดลง จึงสามารถป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันและโรคหัวใจได้
ลดการแข็งตัวของเลือด
ฤทธิ์จากสารในขมิ้นชัน สามารถช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเป็นสรรพคุณสำคัญที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวานได้
![วิธีใช้งานขมิ้นชันแบบง่ายๆ](https://images.contentstack.io/v3/assets/blt354ee7f3d82425c3/blt7cb2cdab4b2d8bfb/64800176959c155a15c329a6/amway-Nutrilite-may-3-2.jpg)
วิธีใช้งานขมิ้นชันแบบง่ายๆ4
ขมิ้นชันสามารถนำมาใช้งานทั้งภายในและภายนอก การใช้งานภายใน คือ การรับประทานเพื่อบำรุงร่างกาย รักษาอาการต่างๆ และการใช้งานภายนอก เป็นการทาหรือพอกบนผิวหนัง เพื่อรักษาอาการของโรคที่เกิดบนผิวหนังและบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดี โดยมีวิธีการใช้ ดังนี้
![วิธีรับประทานขมิ้นชัน](https://images.contentstack.io/v3/assets/blt354ee7f3d82425c3/bltae90c8481cb68213/6480018f24971445282774ba/amway-Nutrilite-may-3-3-edit.jpg)
วิธีรับประทานขมิ้นชัน5
การกินขมิ้นชันตามช่วงเวลา สามารถบำรุงร่างกายได้ตามการทำงานของร่างกาย5 ดังนี้
-
ลดภูมิแพ้ บำรุงปอด ควรกินขมิ้นชันช่วง 03.00-05.00 น.
-
แก้ท้องผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ ควรกินขมิ้นชันช่วง 05.00-07.00 น.
-
ลดท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยบำรุงระบบทางเดินอาหาร ควรกินขมิ้นชันช่วง 07.00-09.00 น.
-
ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันความเสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน ควรกินขมิ้นชันช่วง 09.00-11.00 น.
-
บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ควรกินขมิ้นชันช่วง 11.00-13.00 น.
-
บำรุงสมอง การนอน และการขับถ่าย ควรกินขมิ้นชันช่วง 17.00-21.00 น.
ทั้งนี้ การรับประทานขมิ้นชัน โดยทั่วไปจะมีอยู่ 3 วิธี คือ การรับประทานเหง้าสด การรับประทานแบบแคปซูล และการรับประทานแบบผงสกัดชงดื่ม ซึ่งการเลือกซื้อควรเลือกจากแหล่งผลิตที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย ไม่มีสเตียรอยด์ผสมเจือปน และกระบวนการผลิตไม่ควรผ่านความร้อนเกิน 65 องศาเซลเซียส เพื่อคงคุณภาพของขมิ้นชันไว้
กินสด
ขมิ้นชันที่เหมาะกับจะนำมากินสดจะต้องเป็นขมิ้นชันที่อายุ 9 -12 เดือน เก็บเกี่ยวในช่วงที่เหง้ายังไม่แตกหน่อ เพราะจะยังคงสารเคอร์คิวมินได้เต็มที่ สำหรับการเก็บรักษาเหง้าขมิ้นควรจะเก็บไว้ในที่ไม่มีแสงแดด และไม่เก็บไว้นานเกินไป เพราะจะทำให้น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นชันหมดไป
สูตรน้ำขมิ้นชัน (เผยแพร่สูตรโดยแฟนเพจ สมุนไพรอภัยภูเบศร)
ส่วนประกอบ
-
ขมิ้นชัน 3-4 หัว
-
น้ำตาลกรวด 30 กรัม
-
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
-
น้ำสะอาด 1 ลิตร
-
ขิงแก่ซอย 1 หยิบมือ
-
พริกไทยล่อน 14 ช้อนชา
วิธีทำ
จะแบ่งการต้มออกเป็น 2 ส่วน คือ การต้มน้ำขมิ้นชันและการต้มน้ำขิงผสมพริกไทย
การต้มน้ำขมิ้นชัน
-
นำขมิ้นชันมาปอกเปลือกล้างให้สะอาด
-
หั่นเป็นชิ้นแล้วนำไปตำให้แหลก จนได้น้ำ
-
กรองเอาน้ำแยกออกมา
-
ต้มกับน้ำสะอาด เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนเหลือ 1 ใน 3 ส่วน
-
พักไว้
การต้มน้ำขิงพริก
-
นำขิงซอยและพริกไทยบด ไปต้มกับน้ำเล็กน้อยพอเดือด
-
พักไว้
เมื่อจะกินให้นำน้ำขมิ้นชันมาปรุงรสด้วยน้ำผึ้ง และน้ำขิงพริกไทยทีละแก้ว ขนาดการกิน คือ ดื่ม 1 แก้วกาแฟ วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร
แบบแคปซูล
การกินขมิ้นชันในรูปแบบแคปซูลเป็นวิธีที่ง่ายและทำให้ได้รับปริมาณขมิ้นชันที่แน่นอน ผู้กินสามารถทราบถึงปริมาณการกินที่เหมาะสมกับตนเองได้
โดยทั่วไปในแคปซูลจะบรรจุด้านในแบบขิ้นชันแบบผง 250-400 มิลลิกรัมต่อแคปซูล ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้ โดยส่วนใหญ่จะกินเพื่อช่วยขับลม บรรเทาอาการแน่น จุกเสียด ท้องเฟ้อ เป็นต้น ปริมาณการกิน คือ 2-4 แคปซูล 4 เวลา หลังอาหาร และก่อนนอน
ผงสกัดชงดื่ม
ขมิ้นชันแบบผงสกัดชงดื่ม มีทั้งแบบผงสำหรับชงดื่มและแบบเม็ดฟู่ละลายน้ำดื่ม ซึ่งจะเป็นกรรมวิธีที่มีการสกัดเอาสารเคอร์คิวมินอยด์ไว้ในตัวผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่เหมาะสม ขมิ้นชันแบบผงสกัดนี้จะยิ่งดื่มง่ายเพราะไม่มีกลิ่นรุนแรง และเมื่ออยู่ในรูปแบบที่ละลายน้ำ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
วิธีใช้ขมิ้นชันแบบอื่นๆ
นอกจากขมิ้นชันจะมีสรรพคุณเกี่ยวกับการบำรุงรักษาร่างกายจากภายในแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นยาภายนอก ซึ่งก็มีสรรพคุณที่ช่วยรักษาอาการผิดปกติของผิวหนังได้หลายอย่าง และสามารถใช้เป็นยาบำรุงรักษาผิวหนังให้มีความแข็งแรง เนียนนุ่ม อีกด้วย
ทา
ขมิ้นชันประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารที่ช่วยในการลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อโรค ช่วยสมานแผลได้ จึงมีการนำขมิ้นชันมาเป็นยาทาสำหรับรักษาแผลบนผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นฝี แผลพุพอง ผื่นคัน และแผลสด ซึ่งวิธีการ คือ การนำเอาขมิ้นชันแก่สดมาฝนกับน้ำสุกหรือจะใช้ผงขมิ้นชัน มาทาบริเวณที่เป็นแผล หากมีเหง้าขมิ้นชันแห้งก็สามารถใช้ได้เช่นกัน โดยการนำมาบดเป็นผงละเอียดทาที่แผล หรือจะนำผงชมิ้นชันนั้นมาเคี่ยวกับน้ำมันพืชกลายเป็นน้ำมันใส่แผลสดก็ได้
พอก
นอกจากใช้เพื่อรักษาแผลต่างๆ บนผิวหนังแล้ว ขมิ้นชันยังสามารถนำมาบำรุงผิวพรรณได้ด้วย เป็นสิ่งที่นิยมทำกันมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีทั้งรูปแบบของขมิ้นชันสดและผง ในกรณีของขมิ้นชันสดนั้น จะนำเหง้าสดมาปั่นให้ละเอียด ส่วนขมิ้นชันผงก็นำไปผสมน้ำเล็กน้อยนำไปพอกผิวได้เลย
นอกจากนี้ยังนำขมิ้นชันไปผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ ที่ใช้บำรุงผิวได้ เช่น ดินสอพอง น้ำมะนาว น้ำนม น้ำผึ้ง ว่าน ไพล สรรพคุณที่สำคัญ ได้แก่ การบำรุงผิวหน้าให้ขาวเนียน ชุ่มชื่น เปล่งปลั่ง รักษาสิวเสี้ยน กระชับรูขุมขน รักษาแผลสิว ยับยั้งแบคทีเรีย ลดอาการผื่นคัน เป็นต้น
![ข้อควรระวังในการใช้งานขมิ้นชัน](https://images.contentstack.io/v3/assets/blt354ee7f3d82425c3/bltc2f6a2297a186b46/648001b359f87c5fcdc843aa/amway-Nutrilite-may-3-4.jpg)
ข้อควรระวังในการใช้งานขมิ้นชัน6
ไม่ว่าเป็นพืชชนิดใดก็ตาม แม้จะมีประโยชน์แค่ไหนแต่ก็ยังมีโทษอยู่ดี เฉกเช่นขมิ้นชันที่ดูเหมือนจะมีสรรพคุณในการรักษาอาการต่างๆ มากมาย แต่ก็ผู้บริโภคก็ควรจะต้องศึกษาถึงข้อจำกัดและข้อควรระมัดระวังในการบริโภคขมิ้นชันด้วย
ซึ่งข้อควรระวังเบื้องต้นคือ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน มีกรรมวิธีการผลิตที่สะอาดปลอดภัย ไม่ผสมสารกระตุ้นอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และการใช้ขมิ้นชันในอาการบางประเภท จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลกำกับของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัดด้วย
ทั้งนี้ ข้อควรระวังอื่นๆ ของการใช้ขมิ้นชันเพื่อรักษาอาการต่างๆ ได้แก่
-
ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์
-
ไม่ควรใช้ในผู้ที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีอุดตัน
-
ระมัดระวังในการกินร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพราะจะไปเสริมฤทธิ์ยา
-
ระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด เช่น doxorubicin, chlormethine, cyclophosphamide และ camptothecin เนื่องจากอาจมีผลต้านฤทธิ์ยาดังกล่าว
-
ระมัดระวังในการใช้ขมิ้นชันกับเด็ก เพราะว่ายังไม่มีข้อมูลยืนยันด้านผลลัพธ์และความปลอดภัย
-
ระมัดระวังในผู้ที่แพ้ขมิ้นชัน โดยอาการเบื้องต้น คือ อาการคลื่นไส้ ปวดหัว ท้องเสีย นอนไม่หลับ
-
ควรรับประทานขมิ้นชัน ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป จนทำให้ส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าจะเกิดประโยชน์
สรุป
ขมิ้นชัน พืชสมุนไพรประจำบ้าน หาได้ใกล้ตัว โดยทั่วไปใช้ส่วนของเหง้าขมิ้นชันมาทำยารักษาทั้งในรูปแบบเหง้าสดและที่แปรรูปแล้ว นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลาย
ประการ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมภูมิคุ้มกัน ลดไข้หวัด ต้านไวรัส รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ การรักษาแผลในกระเพาะและลำใส้ การลดการอักเสบและลดปวด การลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และอื่นๆ อีกหลายประการ
ดังนั้นขมิ้นชันจึงเป็นพืชที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะมีสรรพคุณหลากหลายและหาได้ไม่ยาก มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพร่างกาย จึงได้รับความสนใจจากวงการสุขภาพเป็นอย่างมาก/span>