Key Takeaway

  • น้ำมันปลา และน้ำมันตับปลาต่างมีโอเมกา 3 แต่น้ำมันตับปลามีวิตามินเอ และดีสูงกว่า ซึ่งอาจเป็นอันตรายถ้ากินมากเกินไป
  • น้ำมันปลามีประโยชน์หลากหลาย เช่น บำรุงผิว ดวงตา กระดูก สมอง หัวใจ และหลอดเลือด ลดการอักเสบ และอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคต่างๆ
  • ควรกินน้ำมันปลาไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน พร้อม หรือหลังมื้ออาหารเพื่อลดผลข้างเคียง
  • น้ำมันปลาเหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพทั่วไป แต่ควรระวังในผู้ที่แพ้อาหารทะเล หรือกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด

น้ำมันปลาช่วยอะไร? น้ำมันปลามีโอเมกา 3 ที่มีประโยชน์ต่อผิว ตา กระดูก สมอง หัวใจ และหลอดเลือด ช่วยลดการอักเสบ และกินไม่เกิน 3 กรัมต่อวันหลังอาหาร เพื่อบำรุงสุขภาพ

น้ำมันปลา VS. น้ำมันตับปลา เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

น้ำมันปลา (Fish Oil) เป็นสารสกัดที่ได้จากส่วนหนัง เนื้อ หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึก ส่วนน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) เป็นสารสกัดที่ได้จากส่วนตับของปลาทะเล โดยความเหมือน และความต่างของทั้งคู่ มีดังนี้

  • ความเหมือน ทั้งน้ำมันปลา และน้ำมันตับปลา จะมีส่วนประกอบสำคัญอย่างกรดไขมันโอเมกา 3 จึงช่วยในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน นอกจากนี้ ยังมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง และช่วยเสริมเรื่องระบบการเรียนรู้ได้
  • ความแตกต่าง ภายในน้ำมันตับปลาจะมีปริมาณของวิตามินเอ และวิตามินดีที่สูง ปัจจุบัน จึงมีคำเตือนเกี่ยวกับปริมาณที่นำไปใช้ เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุดได้9 ในขณะที่น้ำมันปลา มีความปลอดภัยกว่าเมื่อกินไม่เกิน 3 กรัมต่อวัน7

น้ำมันปลาช่วยเรื่องอะไร? 8 ประโยชน์น่าทึ่งที่คุณต้องรู้

น้ำมันปลาช่วยเรื่องอะไร? 8 ประโยชน์น่าทึ่งที่คุณต้องรู้

น้ำมันปลามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอย่าง DHA และ EPA ที่เป็นกรดไขมันโอเมกา 3 ในปริมาณที่สูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ การกินน้ำมันปลาเสริมจากอาหารมื้อหลัก จึงช่วยให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน โดยสามารถจำแนกประโยชน์ของน้ำมันปลาว่าช่วยเรื่องอะไรบ้าง ได้ดังนี้

1. สุขภาพของหลอดเลือดและหัวใจ

โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ โดยผลการวิจัยพบว่า การกินน้ำมันปลา หรือปลาเป็นประจำ จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยน้ำมันปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจในด้านต่างๆ2 ดังนี้

  • ลดโอกาสการเกิดภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง สามารถลดไตรกลีเซอไรด์ได้ 15-30%
  • เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และอาจลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
  • ลดความดันในเลือด ในผู้ที่มีความดันเลือดสูง
  • ช่วยในการไหลเวียนของเลือด จึงลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ลดโอกาสการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน เนื่องจากช่วยยับยั้งการจับตัวกันของเกล็ดเลือด และลดภาวะการอักเสบ

2. กระตุ้นการทำงานของสมอง

กรดไขมัน DHA ที่มีอยู่ในน้ำมันปลาเป็นกรดไขมันโอเมกา 3 ซึ่งเป็นไขมันพื้นฐานที่พบได้ในเซลล์สมองมากถึง 40% จากงานวิจัยพบว่า ระดับกรดไขมัน DHA ที่ลดลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ได้ อีกทั้งยังมีการศึกษาพบว่า ความสมดุลของกรดไขมันมีผลต่อภาวะซึมเศร้า โดยผู้ที่มีระดับกรดไขมันโอเมกา 3 ต่ำกว่าปกติ และมีโอเมกา 6 สูง มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าได้รุนแรงมากกว่า

รวมถึงมีงานวิจัยกล่าวว่า การกินน้ำมันปลามีส่วนช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้นในผู้มีภาวะถดถอยทางสมอง ทั้งนี้ อาจจะสามารถช่วยได้มากเมื่อเริ่มกินในช่วงแรกที่การทำงานของสมองลดลง1

3. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

ผิวหนังของคนเรานั้นมีโอเมกา 3 อยู่เป็นจำนวนมาก แต่สุขภาพผิวจะค่อยๆ เสื่อมถอยลง เนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น น้ำมันปลาประกอบไปด้วย DHA และ EPA ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ น้ำมันปลาจึงช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวหนัง

โดยจากผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่กินน้ำมันปลาเป็นเวลา 60 วัน มีความชุ่มชื่นของผิวหนังเพิ่มขึ้น 30% และมีงานวิจัยพบว่า การกินน้ำมันปลาที่มีกรดไขมัน EPA ปริมาณตั้งแต่ 1-14 กรัม และกรดไขมัน DHA ปริมาณตั้งแต่ 0-9 กรัม ทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือน ช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังดีขึ้น และช่วยลดการแห้งแตกของผิวหนัง4

4. เสริมสร้างสุขภาพที่ดีของดวงตา

กรดไขมัน DHA นอกจากจะพบได้มากในสมองแล้ว ยังพบได้มากในจอประสาทตาด้วย ซึ่งมีมากถึง 60% ของกรดไขมันในประสาทตา โดยมีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ได้รับโอเมกา 3 ไม่เพียงพอ มีความเสี่ยงต่อโรคทางตามากขึ้น เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ซึ่งการกินน้ำมันปลาในปริมาณที่สูงเป็นเวลา 19 สัปดาห์ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ มีการมองเห็นที่ดีขึ้นได้3

5. รักษาความหนาแน่นของกระดูก

โอเมกา 3 มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพกระดูก โดยมีคุณสมบัติช่วยชะลอการสลายตัวของมวลกระดูก และกระตุ้นการสะสมแคลเซียมในโครงสร้างกระดูก งานวิจัยพบว่า การกินอาหารเสริมโอเมกา 3 ช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูกในสตรีวัยทอง ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกบาง นอกจากนี้ โอเมกา 3 ยังมีคุณสมบัติยับยั้งการสะสมแคลเซียมในหลอดเลือด และเซลล์มะเร็งอีกด้วย10

6. เสริมสร้างสุขภาพเซลล์ในร่างกายให้แข็งแรง

โอเมกา 3 ช่วยเสริมสร้างสุขภาพเซลล์ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบประสาท และสมอง DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมกา 3 ชนิดหนึ่ง มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเซลล์ประสาท และการเจริญเติบโตของสมองทั้งในทารก และผู้ใหญ่ 

นอกจากนี้ โอเมกา 3 ยังช่วยในการส่งสัญญาณประสาท ควบคุมกระบวนการอักเสบ และป้องกันความเสียหายของเซลล์จากความเครียดออกซิเดชัน การรวมตัวของโอเมกา 3 กับเยื่อหุ้มเซลล์ช่วยปรับปรุงการทำงาน และการสื่อสารระหว่างเซลล์ 

7. ลดภาวะอักเสบ

น้ำมันปลาสามารถต้านการอักเสบ ซึ่งการอักเสบเรื้อรังมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า และโรคหัวใจ รวมถึงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ข้อฝืด ข้อเสื่อม และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ด้วย จากงานวิจัยหลายงานพบว่า DHA เป็นกรดไขมันสำคัญที่สามารถต้านการอักเสบได้ โดยลดระดับไซโตไคน์ ซึ่งเป็นตัวช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ ยังอาจลดการอักเสบของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นหลังการออกกำลังกายได้ด้วย

8. ช่วยบรรเทาอาการ หรือลดความเสี่ยงการเกิดโรค

น้ํามันปลาช่วยลดความเสี่ยงโรคอะไรบ้าง? ในน้ำมันปลามีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในกลุ่มโอเมกา 3 ที่สำคัญอย่าง DHA และ EPA ที่มีส่วนช่วยบรรเทาอาการ หรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ มากมาย2 ดังนี้

  • โรคหลอดเลือดหัวใจ: น้ำมันปลามีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
  • โรคความดันโลหิตสูง: ช่วยให้ความดันลดลงในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
  • โรคอัลไซเมอร์: กรดไขมันชนิด DHA ช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้ โดยเพิ่มสารที่ช่วยลดการสร้างเส้นใยที่ทำลายใยประสาทส่วนความจำ
  • ภาวะซึมเศร้า: โอเมกา 3 ช่วยปรับสมดุลของกรดไขมันในร่างกาย ทำให้อาการซึมเศร้ารุนแรงน้อยลง
  • โรคข้อเข่าเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์: โอเมกา 3 โดยเฉพาะกรดไขมัน DHA สามารถต้านการอักเสบได้ โดยทำให้ระดับไซโตไคน์ (Cytokine) ลดลง
  • โรคเบาหวาน: กรดไขมัน EPA มีผลช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • โรคไมเกรน: กรดไขมัน EPA และ DHA ที่พบมากในปลา สามารถช่วยลดอาการ และความถี่ในการปวดหัวไมเกรน
  • โรคหอบหืด: ในน้ำมันปลามีโอเมกา 3 ที่เมื่อได้รับมากเพียงพอ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ จะช่วยลดการอักเสบ และอาการหอบหืด โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็ก
  • โรคผิวหนังบางชนิด: เช่น โรคสะเก็ดเงิน กรดไขมัน EPA และ DHA ช่วยให้ผิวหนังอักเสบ และผิวแห้งแตกอาการดีขึ้น

เลือกน้ำมันปลาอย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

เลือกน้ำมันปลาอย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

การกินน้ำมันปลาช่วยทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมกา 3 อย่างเพียงพอ แต่ในปัจจุบัน น้ำมันปลามีมากมายในท้องตลาด แล้วจะเลือกน้ำมันปลาอย่างไร ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

ต้องมีแหล่งโอเมกา 3 ที่ครบถ้วน

น้ำมันปลาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรประกอบด้วยโอเมกา 3 ครบทั้ง EPA และ DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ การกินโอเมกา 3 ในปริมาณ 500 มก. ช่วยบำรุงหัวใจ สมอง และเซลล์ ขณะที่ปริมาณสูงกว่า 1,000 มก. ยังเพิ่มประโยชน์ในการบำรุงดวงตา ข้อต่อ และสุขภาพผิว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบครบถ้วน และกินในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ได้รับประโยชน์จากโอเมกา 3 อย่างเต็มที่

แม้ในปัจจุบันยังไม่มีการระบุปริมาณ DHA และ EPA ที่ร่างกายควรได้รับต่อวันไว้อย่างชัดเจน แต่องค์กรด้านสุขภาพส่วนใหญ่ให้คำแนะนำว่า วัยผู้ใหญ่ควรได้รับ DHA และ EPA ประมาณ 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยในส่วนของกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-linolenic Acid) ที่ผู้ชายควรได้รับต่อวันจะอยู่ที่ 1,600 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้หญิงอยู่ที่ 1,100 มิลลิกรัมต่อวัน6 อย่างไรก็ตาม ในการกินน้ำมันปลา ควรกินไม่เกิน 3 มิลลิกรัมต่อวัน หากกินในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการตกเลือด หรืออาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้นปี่ตามมาได้7

มีน้ำมันปลาบริสุทธิ์มากกว่าน้ำมันส่วนเกิน

ในแคปซูลน้ำมันปลาโดยทั่วไป นอกจากจะมี DHA และ EPA แล้ว ยังประกอบด้วยน้ำมันส่วนเกิน ซึ่งหากมีปริมาณมากเกินไปอาจรบกวนการดูดซึมของร่างกาย ดังนั้น การเลือกน้ำมันปลาที่มีน้ำมันส่วนเกินน้อยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารสำคัญอย่าง DHA และ EPA ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ แหล่งที่มาของปลาควรมาจากการจับในธรรมชาติที่ยั่งยืน ได้รับการรับรองจาก Friend of the Sea เพื่อรักษาระบบนิเวศทางทะเล และอาจเพิ่มคุณค่าโดยผสมกับน้ำมันจากเมล็ดเชียสีขาว ซึ่งเป็นแหล่งของ ALA การผสมผสานนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ ทำให้ได้น้ำมันปลาที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย และให้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ดูดซึมง่าย ลดกลิ่นคาวปลา

คนที่กินน้ำมันปลาเป็นประจำ มักประสบปัญหากลิ่นเรอเหม็นคาวปลา ซึ่งมักเกิดจากน้ำมันปลาที่ไม่ละลาย หรือไม่ถูกดูดซึมอย่างสมบูรณ์ การมองหาน้ำมันปลาที่ดูดซึมง่าย จึงจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากโอเมกา 3 อย่างเต็มที่

ซึ่งในปัจจุบัน มีการใส่เทคโนโลยี SEDDS (Self-Emulsifying Drug Delivery System) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมน้ำมันปลาได้ถึง 300% เมื่อเทียบกับน้ำมันปลาทั่วไปท้องตลาด โดยเป็นตัวสร้างอิมัลชันเมื่อน้ำมันปลาสัมผัสของเหลวในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยังช่วยลดปัญหากลิ่นเรอเหม็นคาวปลา ซึ่งมักเกิดจากน้ำมันปลาที่ไม่ละลาย หรือการดูดซึมไม่สมบูรณ์

น้ำมันปลากินตอนไหนดี

Fish Oil กินตอนไหนดีที่สุด? น้ำมันปลา หรือ Fish Oil ควรกินพร้อมอาหาร หรือหลังมื้ออาหาร เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ดี และช่วยลดอาการข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ เรอ หรือมีกลิ่นปาก ที่สำคัญ ควรกินอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลที่ดี และเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยช่วงที่แนะนำให้กินคือพร้อมมื้ออาหารจะดีที่สุด8

อาหารต้องห้าม ที่ไม่ควรกินร่วมกับน้ำมันปลา

น้ำมันปลาไม่ควรกินคู่กับอะไรที่อาจเป็นอันตรายกับร่างกาย อย่างการกินร่วมกับอาหาร ยา หรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น

  • น้ำมันตับปลา การกินร่วมกันอาจทำให้ได้รับกรดไขมันโอเมกา 3 มากเกินไป จนเกิดผลข้างเคียง
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน หรือโคลพิโดเกล เมื่อกินพร้อมกันอาจส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า เสี่ยงต่อการเลือดออกแล้วหยุดช้า
  • อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เพราะการกินน้ำมันปลาในปริมาณที่มาก ร่วมกับอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง จะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายยิ่งสูง จนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

น้ำมันปลาเหมาะกับใคร?

น้ำมันปลาเหมาะกับใคร?

น้ำมันปลานั้นมีโอเมกา 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ จึงเหมาะกับคนหลายกลุ่ม เช่น

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
  • นักเรียน นักศึกษา ในช่วงสอบที่ต้องการบำรุงสมองเป็นพิเศษ
  • ผู้ที่ชอบกินอาหารไขมันสูง หรือมีภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง
  • ผู้ที่มีปัญหาปวดข้อเข่า ข้อเข่าเสื่อม หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • นักกีฬา และผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะน้ำมันปลาช่วยลดการอักเสบ และเพิ่มการฟื้นตัวหลังการออกกำลังกาย
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ตาแห้งง่าย เพราะ EPA และ DHA มีส่วนช่วยในการบำรุงชั้นไขมันใต้ผิวหนังให้ทำงานตามปกติ รวมถึงช่วยรักษาสุขภาพดวงตา และป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม
  • ผู้ที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ต้องการเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ที่ต้องระวังในการกินน้ำมันปลา เพราะอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เช่น ผู้ที่แพ้อาหารทะเล แพ้ปลา ผู้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือดอยู่ เช่น แอสไพริน หรือผู้ที่กำลังจะต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานน้ำมันปลาเป็นอาหารเสริม

สรุป

น้ำมันปลาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายต่อสุขภาพ โดยช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และหลอดเลือด ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และความดันโลหิตในผู้ที่มีค่าสูง นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคสะเก็ดเงิน อีกทั้งยังช่วยลดความแห้ง และการแตกของผิวหนัง รวมถึงส่งเสริมสุขภาพกระดูก โดยช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และอาจลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน 

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจกินน้ำมันปลาเสริม ควรอ่านฉลากอย่างละเอียด หลีกเลี่ยงการกินในปริมาณมากเกินไป และไม่ควรกินร่วมกับน้ำมันตับปลา ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรืออาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ที่สำคัญ หากมีโรคประจำตัว หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์เสริมน้ำมันปลา เพื่อให้ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล

ข้อมูลอ้างอิง
  1. Keith Pearson. How Omega-3 Fish Oil Affects Your Brain and Mental Health. Healthline.com. Published 5 December 2017. Retrieved 26 Jan 2023.1.2 Simon C. Dyall. Long-chain omega-3 fatty acids and the brain: a review of the independent and shared effects of EPA, DPA and DHAPublished 21 April 2015. Retrieved 26 Jan 2023.
  2. PhD. Ruairi Robertson. 12 Benefits of Taking Fish Oil. Nutrition. Medically reviewed by Sade Meeks, MS, RD. Updated on 24 Feb 2022. Retrieved 26 Jan 2023
  3. Tassos Georgiou, Anastasia Neokleous, Despina Nicolaou, Barry Sears. Pilot study for treating dry age-related macular degeneration (AMD) with high-dose omega-3 fatty acids. PharmaNutrition Volume 2, Issue 1, January 2014, Pages 8-11. Retrieved 26 Jan 2023.
  4. Sarah Taylor, M.D., FAAD. 8 Best Vitamins and Supplements for Dry Skin. healthline.com. Retrieved 26 Jan 2023.
  5. หทัยพร ศิรินามารัตนะ, ผศ.ดร.วรางคณา วารีสน้อยเจริญ. (2548). การเสริมน้ำมันปลาในการรักษาโรคที่เกิดการอักเสบ.ไทยไภษัชยนิพนธ์, 2, 179-188. ฉบับเดือนกันยายน 2548 (2005) - บทความฟื้นฟูวิชาการ สำหรับการศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์. Retrieved 26 Jan 2023.
  6. Freydís Guðný Hjálmarsdótti. How Much Omega-3 Should You Take per Day?. Retrieved 26 Jan 2023.
  7. WebMd. Fish Oil - Uses, Side Effects, And More. webmd.com. Retrieved 26 Jan 2023.
  8. Pobpad. น้ำมันตับปลา. pobpad.com. Retrieved 26 Jan 2023.
  9. WebMD. Cod Liver Oil Side Effect Section. webmd.com. Retrieved 21 February 2023.
  10. Tanu Sharma and Chandi C Mandal. Omega-3 fatty acids in pathological calcification and bone health. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov. Retrieved 10 October 2024.
click