วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นสารอาหารที่สำคัญที่รู้กันดีว่าช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมีประโยชน์หลายอย่างต่อร่างกาย ทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดูแลสุขภาพกระดูก และสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดี
วิตามินเอสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย
วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ช่วยในการมองเห็น ช่วยซ่อมแซมผิวของดวงตาและหลอดลม ซึ่งช่วยให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ยากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันอาการตาบอดในเวลากลางคืน
- ช่วยรักษาความสามารถในการมองเห็น ดวงตาของเรามีส่วนที่เรียกว่า "เรตินา" (Retina) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเซลล์ที่รับรู้แสงและส่งสัญญาณไปยังสมอง วิตามินเอช่วยในการรักษาความสามารถของเรตินาในการตอบสนองต่อแสงและสีที่ถูกตรวจจับ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมองเห็นในสภาวะแสงน้อยอย่างเวลากลางคืน การได้รับวิตามินเอไม่เพียงพออาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น การมองสีที่แย่ลงและการตาบอดในเวลากลางคืน
- รักษาความแข็งแรงของดวงตา วิตามินเอมีบทบาทในการรักษาความแข็งแรงของดวงตาและหลอดลม ช่วยป้องกันการระคายเคือง และความเสียหายที่มาจากแสงแดด และสารเคมี ซึ่งวิตามินชนิดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะป้องกันการเกิดอาการอักเสบ หรือการติดเชื้อในดวงตาได้
- ป้องกันโรคต่างๆ วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการเจ็บป่วย การกินวิตามินเอให้เพียงพอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ที่อาจทำลายสุขภาพดวงตาได้
- กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว วิตามินเอมีบทบาทในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเม็ดเลือดขาวจะมีหน้าที่ในการทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกายอย่างเชื้อโรคต่างๆ การทำงานที่ดีของเม็ดเลือดขาวจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆ
หากร่างกายขาดวิตามินเอ จะส่งผลเสียอย่างไร
การขาดวิตามินเอในร่างกายอาจส่งผลเสียอย่างมากต่อสุขภาพ ดังนี้
- ปัญหาการมองเห็น การขาดวิตามินเออาจเสี่ยงเกิดปัญหาการมองเห็น โดยเฉพาะอาการตาบอดในเวลากลางคืน (Night Blindness) ซึ่งทำให้มองเห็นในสภาวะแสงน้อย และเวลากลางคืนได้ยากขึ้น นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาตาอื่นๆ เช่น ภาวะตาพร่ามัว (Blurry Vision) หรือภาวะเยื่อบุตาอักเสบ (Xerophthalmia) ซึ่งเป็นอาการระดับรุนแรงที่อาจทำลายสายตาได้
- ผิวแห้งเสีย วิตามินเอมีบทบาทในการรักษาความชุ่มชื้นของผิว การขาดวิตามินเออาจทำให้ผิวแห้งและเสียได้ ซึ่งอาจเป็นตัวเปิดรับสิ่งสกปรกที่มาจากสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น และอาจส่งผลให้ผิวหนังหยาบกระด้างมากขึ้น
- กระดูกและฟันเสื่อม วิตามินเอมีบทบาทในกระบวนการสร้างกระดูกและฟัน การขาดวิตามินเออาจทำให้กระดูกและฟันเสื่อมสภาพลง และเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเรื่องโรคข้อกระดูกเสื่อม (Osteoporosis) ที่อาจทำให้กระดูกแตกหรือหักง่ายขึ้น
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การขาดวิตามินเออาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
- ปัญหาการเจริญเติบโต ในกรณีของเด็กและวัยรุ่น การขาดวิตามินเออาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาที่ไม่เหมาะสมได้
ควรกินวิตามินเอปริมาณเท่าไรต่อวันถึงจะเหมาะสม
การกินวิตามินเอให้เพียงพอต่อวันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะวิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพดวงตาและระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินเอช่วยในการรักษาความสามารถในการมองเห็นในสภาวะแสงน้อย และเวลากลางคืน การขาดวิตามินเออาจทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นและปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ ได้
การกินวิตามินเอให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการบริโภคน้อยเกินไป หรือมากเกินไปอาจมีผลเสียต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอที่ไม่ได้ใช้งานโดยร่างกายจะถูกเก็บไว้ในไขมันและตับ จนอาจเกิดอาการเป็นพิษจากวิตามินเอที่สะสมมากเกินได้ แถมหากกินมากเกินไปในเวลาสั้นๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้
โดยปริมาณวิตามินเอที่แต่ละเพศและวัยจำเป็นต้องบริโภคให้เพียงพอต่อวัน มีดังนี้
อายุ |
เพศชาย ปริมาณต่อวัน (ไมโครกรัม) |
เพศหญิง ปริมาณต่อวัน (ไมโครกรัม) |
เด็กแรกเกิดถึง 6 เดิอน |
400 |
400 |
7-12 เดือน |
500 |
500 |
1-3 ปี |
300 |
300 |
4-8 ปี |
400 |
400 |
9-13 ปี |
600 |
600 |
14-18 ปี |
900 |
700 |
วัยรุ่นที่กำลังตั้งครรภ์ |
- |
750 |
ผู้ใหญ่ที่กำลังตั้งครรภ์ |
- |
770 |
วัยรุ่นที่กำลังให้นมบุตร |
- |
1,200 |
ผู้ใหญ่ที่กำลังให้นมบุตร |
- |
1,300 |
กินวิตามินเอตอนไหน ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
วิตามินเอเป็นสารละลายในไขมัน (Fat-soluble) แทนที่จะละลายน้ำ (Water-soluble) ดังนั้นจึงควรบริโภควิตามินเอพร้อมมื้ออาหาร เพื่อทำให้เป็นที่มั่นใจได้ว่าร่างกายจะมีไขมันที่เพียงพอต่อการละลายวิตามินเอ ซึ่งจะสามารถช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินเอได้อย่างเต็มที่
กินอะไรได้วิตามินเอสูง?
แหล่งอาหารหลากหลายชนิดอุดมไปด้วยวิตามินเอ โดยจะแบ่งออกเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ เรตินอล ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้โดยตรง และแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยเบต้า-แคโรทีน ที่ร่างกายสามารถแปลงเป็นเรตินอลเพื่อนำมาใช้อีกที ดังนี้
แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ/เรตินอล
- ชีส
- ไข่
- ปลาที่มีไขมันสูง
- นมและโยเกิร์ต
- ตับและผลิตภัณฑ์จากตับ เป็นแหล่งที่มีวิตามินเอมากที่สุด ดังนั้นควรระวังการบริโภคตับหรือผลิตภัณฑ์จากตับมากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ หรือถ้าหากกำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคตับหรือผลิตภัณฑ์จากตับไปก่อน
แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยเบต้า-แคโรทีน
- ผักใบสีเขียว และผักใบสีเหลืองแดง เช่น ผักโขม แครอท มันหวาน บรอคโคลี และพริกหวานแดง
- ผลไม้สีเหลือง เช่น มะม่วง มะละกอ และแอปริคอต (Apricots)
- ปลาบางชนิด เช่น ปลาแฮร์ริ่ง (Herring) และปลาแซลมอน
- ผลิตภัณฑ์นมและไข่ เช่น นม ไข่ และชีส
- ซีเรียลที่เติมวิตามินเอ (Fortified breakfast cereals)
คนกลุ่มใดที่ไม่ควรกินวิตามินเอ
กลุ่มคนที่ไม่ควรบริโภควิตามินเอ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภค มีดังนี้
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภควิตามินเอ เพราะการบริโภควิตามินเอในปริมาณมาก (มากกว่า 3,000 ไมโครกรัมต่อวัน) อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ลูกเกิดมามีความพิการตั้งแต่กำเนิด
- ผู้ให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภควิตามินเอ เพราะหากบริโภควิตามินเอมากเกินไป อาจส่งผลเสียผ่านน้ำนม ซึ่งอาจมีผลต่อลูกได้
- ผู้ที่ใช้ยาที่มีเรตินอยด์ ในรูปแบบทาผิวหรือรูปแบบอื่นๆ เช่น Isotretinoin ที่ใช้ในการรักษาสิว และ Etretinate ที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภควิตามินเอ และควรระวังการกินวิตามินเอในปริมาณมาก
- ผู้ที่สูบบุหรี่ ควรระวังการบริโภควิตามินเอในปริมาณมาก โดยเฉพาะในกรณีที่มีประวัติสูบบุหรี่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภค
สรุป
วิตามินเอเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากต่อร่างกาย เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพดวงตา และระบบที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น วิตามินเอยังช่วยซ่อมแซมผิวของดวงตาและหลอดลม ทำให้สามารถป้องกันเชื้อโรคที่อาจทำร้ายดวงตาและหลอดลมได้ นอกจากนี้ วิตามินเอยังมีบทบาทในการกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันอาการตาบอดในเวลากลางคืน การบริโภควิตามินเอในปริมาณเพียงพอมีความสำคัญ เนื่องจากการบริโภคที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไปอาจเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของร่างกายและสุขภาพของดวงตาได้
การบริโภควิตามินเอควรบริโภคร่วมกับมื้ออาหาร เนื่องจากวิตามินเอเป็นสารละลายในไขมัน จึงควรบริโภคพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมและนำวิตามินเอเข้าสู่ระบบได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การกินอย่างพอเหมาะจะช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่มีการบริโภคเกินขนาด หรือมากเกินไป โดยอาจเกิดผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้น การบริโภควิตามินเอในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง