ไขมันพอกตับเป็นโรคที่คนไทยเป็นกันอันดับต้นๆ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ กินอาหารพลังงานสูง และผลข้างเคียงจากการใช้ยา จึงต้องศึกษาวิธีดูแลตับ เพื่อให้สุขภาพตับดีขึ้น
ตับ สำคัญยังไง?
ตับ เป็นตัวช่วยสำคัญในการผลิตน้ำดีที่จะย่อยอาหาร และยังช่วยสร้างโปรตีน เป็นแหล่งรวบรวมวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้ ตับยังทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษ ยา รวมไปถึงการสร้างภูมิคุ้มเพื่อป้องกันแบคทีเรีย หรือทำให้เลือดแข็งตัวจนสมานแผลให้ดีขึ้นได้1 ดังนั้น การดูแลตับให้ดีก็เหมือนเป็นการดูแลสุขภาพตัวเองในอีกหลายๆ ทางได้ เพราะหากเกิดปัญหา เช่น มีไขมันพอกตับ อาจต้องใช้เวลารักษายาวนานได้
ไขมันพอกตับ คืออะไร?
ไขมันพอกตับ หรือไขมันเกาะตับ เป็นกลุ่มโรคชนิดเดียวกัน อาจเกิดจากการสะสมไขมันไตรกลีเซอไรด์ในตับที่มากจนเกินไป (ประมาณ 5–10%2) ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่แสดงอาการอะไรที่เห็นเด่นชัดจนกว่าจะได้รับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดจึงพบความผิดปกติ นอกจากนี้ ไขมันไตรกลีเซอไรด์ยังเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ ตามมาอีกด้วย
ไขมันพอกตับ มีอาการยังไง?
อาการแรกเริ่มของไขมันพอกตับมักจะไม่ค่อยเห็นเด่นชัด และในหลายๆ คนก็จะมีอาการแตกต่างกันไป เช่น
- คลื่นไส้
- อ่อนเพลีย
- รู้สึกได้ว่ามีความตึงเกิดขึ้นที่ใต้ชายโครงขวา2
และเมื่ออาการรุนแรงขึ้นจะรู้สึกได้ถึงอาการดังนี้
- ร่างกายอ่อนล้า
- ความคิดสับสน
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง
- เป็นดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาขาว)
- ท้องและขาบวมจากการบวมน้ำ
- ในผู้ชายอาจมีหน้าอกที่ใหญ่กว่าปกติ3
- ซึ่งเป็นอาการที่ต้องได้รับการตรวจเพราะอาจส่งผลให้เกิดโรคตับแข็งได้1
ไขมันพอกตับ มีกี่ระยะ?
นอกจากสัญญาณที่ร่างกายแสดงออกข้างต้นแล้ว เมื่อตรวจเจอไขมันพอกตับก็จะเริ่มแสดงอาการเป็น 4 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 ร่างกายยังไม่แสดงอาการอะไรมากเพราะยังไม่เกิดการอักเสบหรือมีพังผืดในตับ แต่เริ่มมีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับแล้ว อาจมีอ่อนเพลีย คลื่นไส้ ไขมันพอกตับระยะนี้ตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพ
- ระยะที่ 2 ตรวจพบค่าตับจากผลเลือดว่ามีความผิดปกติในระดับที่ตับเริ่มมีการอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดพังผืดหรือตับอักเสบเรื้อรัง
- ระยะที่ 3 เซลล์ตับอักเสบเสียหายจนก่อให้เกิดพังผืดในตับ แต่ยังอยู่ในระยะที่ให้การรักษาเพื่อจะหยุดโรคได้
- ระยะที่ 4 จากตับอักเสบเป็นตับแข็ง และตับไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติแล้ว มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งตับได้1
ไขมันพอกตับ เกิดจากอะไร?
โดยทั่วไปแล้ว การกินอาหารที่แคลอรีสูงจะเป็นสาเหตุของการเกิดไขมันพอกตับ ซึ่งนำมาสู่อาการดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น รวมไปถึงการดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดไขมันพอกตับ4 และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเกิดโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย
ไขมันพอกตับที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ (AFLD)
ร่างกายที่ได้รับแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไปในระยะเวลาสั้นๆ อาจปรับตัวไม่ทัน จนกระบวนการเผาผลาญของตับมีปัญหา5 ทำให้ไขมันมีการสะสมและเกาะตัวที่ตับ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะทำให้เป็นตับแข็งได้
ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ (NAFLD)
ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ (NAFLD) เกิดจากการกินอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง เป็นประจำ เช่น ชานม เนื้อติดมัน เค้ก ทำให้ตับเผาผลาญไม่ทัน เกิดการสะสมไขมันไว้ที่ตับจนเป็นสาเหตุให้เกิดไขมันพอกตับในที่สุด
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ยังมีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจตามมาได้อีกด้วย6 ความเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความดันสูง ต่อมไทรอยด์มีปัญหา การสูดดมควันหรือมลภาวะมากเกินไป เป็นต้น
โรคอื่นๆ ที่มักเจอร่วม เมื่อมีภาวะไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับเป็นโรคที่สามารถเกิดร่วมกับโรคทางกายอื่นๆ ได้ หรือบางครั้งการมีโรคประจำตัวอยู่แล้วก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการของโรคไขมันพอกตับได้เช่นกัน
- โรคตับแข็ง
- โรคมะเร็งตับ
- โรคอ้วน
- โรคเบาหวาน หรือภาวะดื้ออินซูลิน14
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไวรัสตับอักเสบ
- โรคไขมันในเลือดสูง
ใครเสี่ยงที่จะเป็นไขมันพอกตับบ้าง?
ไม่ว่าใครก็มีความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันพอกตับได้ หากดูแลตัวเองหรือกินอาหารที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ เช่น
- ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่จัด หรืออยู่ในที่ที่มีควันมาก
- กินยาที่ไม่จำเป็นมากจนเกินไป กินยามากกว่าที่แพทย์สั่ง หรือหายามากินเอง
- กินอาหารประเภทของหวาน ของมัน ในปริมาณมาก
- มีโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน13
- ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน
- มีภาวะหยุดหายใจตอนหลับ
- ได้รับผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาต้านไวรัส หรือยาเคมีบำบัด20
วิธีดูแลตับ เพื่อป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
วิธีที่จะช่วยดูแลตับเพื่อลดการเกิดปัญหาไขมันพอกตับควรเน้นที่การกินอาหารให้เป็นประโยชน์และการดูแลตัวเอง เช่น
- ผัก ผลไม้สด ธัญพืช เช่น บรอกโคลี หัวหอม หรือกระเทียม เพราะมีส่วนช่วยในการเร่งกระบวนการกำจัดพิษออกจากตับได้ดี
- กินเนื้อปลา หรือเนื้อที่ไม่ติดมัน
- เลี่ยงการกินอาหารไขมันสูง เช่น เนย นม เค้ก ชีส กะทิ หรือไข่แดง เพราะอาจทำให้เกิดการสะสมของไขมันและนำไปสู่การเกิดไขมันพอกตับได้
- เลี่ยงอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ที่มากเกินไป
- สมุนไพรอย่างชะเอมเทศ หรืออาหารเสริมบางชนิดมีฤทธิ์ช่วยขับพิษออกจากตับได้ อีกทั้งยังช่วยเยียวยาและกระตุ้นการทำงานของตับที่เสียหายด้วย
- เลือกกินไขมันที่ดี เช่น น้ำมันมะกอก หรืออาโวคาโด เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง
- เลี่ยงดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ7
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม2
- เลือกกินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารอาหารบำรุงตับ ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดองุ่น บรอกโคลี ชะเอมเทศ เป็นต้น
อาหารบำรุงตับ ป้องกันภาวะไขมันพอกตับได้
อาหารที่เป็นประโยชน์กับตับนั้นค่อนข้างเยอะ และยังมีส่วนช่วยในการลดโอกาสเกิดไขมันพอกตับได้อีกด้วย
1. ชะเอมเทศ
ในชะเอมเทศจะมีสารกลุ่มที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนในการบำรุงตับที่ลดโอกาสเกิดมะเร็ง หรือไขมันพอกตับได้ รวมถึงยังมีฤทธิ์ในการช่วยย่อยอาหารได้ดี ทั้งนี้ การกินชะเอมเทศก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอดี เพราะหากกินมากไปจะส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อน พึงระวังว่าอะไรที่มากหรือน้อยเกินไปมักส่งผลเสียได้มากกว่าผลดี
2. บรอกโคลี
ความสำคัญของตับก็คือการช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งมีความเหมือนกันกับบรอกโคลี ที่มีประโยชน์ในเรื่องของการกำจัดสารพิษออกจากตัวได้8เมื่อกินบรอกโคลีแล้วจึงช่วยบำรุงตับ ทำให้การขับถ่ายทำได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่าบรอกโคลีมีส่วนช่วยในการสลายไขมัน9 ทำให้ไขมันเกาะตับได้น้อยและดีต่อสุขภาพ
3. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีส่วนช่วยในการป้องกันการอักเสบของตับได้ดี การกินเมล็ดองุ่นจึงเป็นวิธีดูแลตับที่ดี ทำให้ตับได้ฟื้นฟูสภาพ10 ระบบร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้น สิ่งสำคัญคือช่วยป้องกันความเสี่ยงในการพัฒนาไปสู่มะเร็งตับได้
4. ชาเขียว
การกินชาเขียวเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลตับที่น่าสนใจ เพราะชาเขียวมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเกิดพังผืดในตับได้11 นอกจากนี้สาร EGCG ในชาเขียวยังมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกายอีกด้วย
5. เนื้อปลา
ปลา เป็นอาหารที่มอบคุณค่าทางโภชนาการให้กับร่างกายได้มากมาย นอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับไขมันที่อาจเกาะอยู่ตามตับ จนอาจส่งผลทำให้เกิดอาการที่เป็นสาเหตุของไขมันพอกตับได้ในอนาคต และยังช่วยลดการอักเสบของตับได้ด้วย ควรเลือกกินปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือปลาซาร์ดีน เพราะเป็นปลาประเภทที่มีโอเมกา 3 สูง12 ทำให้ลดความเสี่ยงการเกิดไขมันพอกตับได้
สรุป
ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้ามเพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่ได้ดูแลสุขภาพอย่างดี ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคตับแข็งหรือโรคมะเร็งตับตามมาได้ สาเหตุของการเกิดโรคไขมันพอกตับ ในช่วงแรกจะยังไม่แสดงอาการมาก อาจอ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดใต้ชายโครงขวา แตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น หรือมีไขมันเกาะที่ตับมากจนเกิดพังผืด ก็อาจเป็นผลเสียมากกว่านั้นได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับ ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ บรอกโคลี เมล็ดองุ่น เนื้อปลา ชาเขียว หรือสมุนไพรอย่างชะเอมเทศ ก็จะช่วยบำรุงตับได้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมถึงลดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคไขมันพอกตับ และไม่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ตับแข็ง ความดันโลหิตสูง