ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญ แต่การดูแลสายตากลับถูกมองข้ามมากที่สุด เห็นได้จากการที่หลายๆ คนมักจะตรวจสุขภาพกันทุกปี แต่ละเลยการตรวจสายตา และจะดูแลสุขภาพตาก็ต่อเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติแสดงออกมา ที่แย่ก็คือโรคทางสายตาบางโรคจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะอยู่ในขั้นรุนแรง ถึงวันนั้น..อาจจะสายไปสำหรับการรักษา
อย่างไรก็ตาม 80% ของอาการทางสายตาสามารถป้องกันได้จากโภชนาการและการรักษาที่ถูกต้อง เช่น กินอาหารที่อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน สารสกัดจากดอกดาวเรืองที่มีลูทีนและซีแซนทีน สารสกัดจากผลมะเขือเทศสดที่มีไลโคปีนสูง เป็นต้น
พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำร้ายดวงตา
- ใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานาน
- อ่านหนังสือหรือใช้สายตาในที่แสงน้อย
- สัมผัสแสงอาทิตย์และแสงยูวีปริมาณมาก
- ขับรถตอนกลางคืนเป็นประจำ
- สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4 อาการและปัจจัยเสี่ยงทางสายตา
ในขณะที่โลกมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้เราใช้ดวงตามากขึ้น และยังได้รับแสงจากทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ จึงส่งให้คนในยุคปัจจุบันมีอาการและปัจจัยเสี่ยงทางสายตา 4 ประการดังนี้
- Poor Light Adaptation1 หรืออาการตาบอดกลางคืน คืออาการที่ต้องใช้เวลาเพื่อปรับสายตาในที่มืดนานกว่าปกติ ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ที่แปลงเป็นวิตามินเอในร่างกาย2
- Slow Visual Focus3 หรืออาการปรับโฟกัสไม่ทัน เป็นอาการที่ดวงตาไม่สามารถสลับโฟกัสระยะใกล้-ไกลได้อย่างเป็นปกติ บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนมีม่านดำบังดวงตาเป็นแถบด้านข้าง ซึ่งเกิดจากอายุที่มากขึ้น หรือการต้องปรับสายตาจากสภาพแสงที่ต่างกันบ่อยๆ โดยเฉพาะการทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ ที่ต้องปรับสายตาจากหน้าจอสลับกับการก้มมองคีย์บอร์ด ตลอดทั้งวัน รวมไปถึงผู้ที่ใช้เวลาไปกับการขับรถเป็นเวลานานๆ อาจทำให้การโฟกัสภาพต่างระยะเสื่อมลงได้เร็วยิ่งขึ้น
- Blurred vision4 หรืออาการตาพร่ามัว มองภาพได้ไม่ชัดเจน จนเกิดภาวะเครียดของดวงตา ตาล้า อันเนื่องมาจากการใช้งานเป็นเวลานาน จากงานวิจัยพบว่า ประชากรผู้ใหญ่มากถึง 70% ที่ทำงานกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ จะมีอาการสายตาพร่ามัว ปวดศีรษะ
- Light damage5ตาเสื่อมจากการทำลายของแสง ซึ่งมีทั้งแสงสีน้ำเงินจากรังสียูวีและแสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น ผู้ที่อยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน โดยไม่มีเครื่องป้องกัน และผู้ที่ใช้สายตาอยู่กับจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการตาเสื่อม จากงานวิจัยพบว่า เพียงแค่เราใช้ใช้สายตากับหน้าจอเป็นเวลาถึง 2 ชั่วโมงต่อวันก็ส่งผลให้เกิดอาการตาล้าได้แล้ว
แต่ข้อมูลทางสถิติในปี 2022 ค่าเฉลี่ยของการใช้สายตากับหน้าจอของคนไทยอยู่ที่ 9.06 ชั่วโมงต่อวัน และค่าเฉลี่ยนี้สูงขึ้นในทุกๆ ปี20
สารอาหารเพื่อสุขภาพดวงตา
องค์การอนามัยโลก พบว่า 80% โรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตาและการมองเห็น ป้องกันได้ด้วยโภชนาการและการรักษาที่ถูกต้อง เราจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตาดังนี้
ลูทีนและซีแซนทีน6ตัวช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้า Blue Light Filtering
สารสกัดจากดอกดาวเรือง ให้สารสำคัญคือ ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ทำหน้าที่กรองพลังงานแสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์และแสงบลูไลต์ (แสงสีฟ้า) จากหน้าจอดิจิตอล7ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นและสุขภาพดวงตาที่ดีขึ้น8 ปกป้องดวงตาในระยะยาว
- ช่วยให้มองภาพได้คมชัดและเห็นรายละเอียดของภาพดีขึ้น9
- ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และแสงยูวีในแสงแดดที่สร้างความเสียหายต่อดวงตา
- ชะลอการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นภาวะเลนส์ตาขุ่นมัวอันเนื่องจากความเสื่อมของเลนส์ตา10
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องดวงตาโดยการดูดซึมแสงสีน้ำเงินและแสงสีเหนือม่วงหรืออุลตร้าไวโอเล็ตจากรังสีดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายต่อดวงตามนุษย์
- ปกป้องดวงตาจากปัจจัยที่อาจทำลายจอประสาทตา เช่น การสูบบุหรี่ มลพิษ และความเครียด เป็นต้น11
- งานวิจัยทางคลินิกของ Bone และคณะ แห่งมหาวิทยาลัยนานาชาติฟลอริด้า (Florida International University) ตีพิมพ์ใน Journal of Nutrition ปี 2003 ในชายและหญิงจำนวน 21 คน แสดงให้เห็นถึงการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ประกอบด้วยลูทีนขนาด 2.4 – 30 มก./วัน เป็นเวลา 6 เดือน สามารถเพิ่มระดับลูทีนทั้งภายในเลือดและบริเวณจุดรับภาพของจอประสาทตาได้เฉลี่ย 128% และ 10% ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญ11
ไลโคปีน ตัวช่วยการปรับระยะโฟกัส ใกล้-ไกล Visual Focus12
สารสกัดจากผิวมะเขือเทศอุดมไปด้วยหนึ่งในไฟโตนิวเทรียนท์ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ คือ ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่จะสะสมอยู่ด้านหน้าของดวงตาในกล้ามเนื้อปรับเลนส์ ช่วยควบคุมการปรับโฟกัสในระยะใกล้-ไกลให้เป็นปกติ
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในช่วงเวลาที่ดวงตาอ่อนล้าชั่วขณะ13
- ช่วยเสริมประสิทธิภาพการยืด-งอเลนส์ของดวงตา
- ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา ได้แก่ โรคต้อกระจก โรคเยื่อบุตาอักเสบ
- ลดความเสื่อมในเซลล์ลูกตา
- ช่วยบำรุงสายตาให้มองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น
เบต้าแคโรทีน (วิตามิน A) ตัวช่วยการปรับตาในที่แสงน้อย Light Adaptation14
เป็นสารอาหารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ร่างกายสามารถแปลงเป็นวิตามินเอได้ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง มีไฟโตนิวเทรียนท์จำนวนมาก แต่สารสำคัญที่มีประโยชน์คือ กลุ่มแอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides)
- ป้องกันอาการตาบอดในเวลากลางคืนเพิ่มสมรรถภาพการมองเห็นในที่มืด
- ช่วยลดระยะเวลาในการปรับแสงจากสว่างไปสู่ที่มืดหรือที่มีแสงสลัวได้เร็วขึ้น เช่น แสงวาบหรือหลอดไฟแฟลช
- บำรุงดวงตา เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ภายในจอประสาทตา ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
- ลดความเสี่ยงของอาการตามัว ตาพร่า ตาล้า สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงสว่างจ้ามากๆ หรือแสงแฟลชเป็นประจำ
- ป้องกันความเสี่ยงจากโรคเกี่ยวกับดวงตาเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เช่น โรคต้อกระจก, โรคจอประสาทตาเสื่อมซึ่งอาจมีผลทำให้ตาบอดได้15
สังกะสี (Zinc) ตัวช่วยการมองเห็นที่คมชัด Clear Sharp Vision16
สังกะสี เป็นหนึ่งในแร่ธาตุสำคัญที่สนับสนุนสุขภาพดวงตา อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นส่วนประกอบที่ช่วยในการมองเห็นภาพ การขาดแร่ธาตุสังกะสีจึงอาจนำไปสู่อาการตาบอดกลางคืนได้17
- ป้องกันอาการตาบอดกลางคืนเพราะสังกะสี เป็นส่วนประกอบสำคัญในดวงตา จำเป็นสำหรับการปรับสายตาให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนแม้ขณะแสงน้อย
- ผลลัพธ์จากงานวิจัยแสดงว่า การให้อาหารเสริมสังกะสีในผู้สูงอายุที่มีภาวะจอประสาทตาเสื่อมระยะเริ่มต้น ช่วยชะลออัตราความเสื่อม และคงการมองเห็นที่คมชัดไว้ได้มากกว่ากลุ่มผู้ที่ได้รับยาหลอก18
- ลดโอกาสการเกิดอาการจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งทำให้การมองเห็นภาพที่จุดกลางได้ไม่คมชัด เห็นสีผิดเพี้ยน มีจุดดำกลางภาพ อาการตาแพ้แสง ฯลฯ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากสังกะสีเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิตามินเอให้เป็นเรตินอล (Retinal) ซึ่งอาจเสื่อมได้เมื่อมีอายุมากขึ้น19
สรุป
ดวงตา เป็นอวัยวะที่หลายคนมองข้าม และมักตรวจพบปัญหาเมื่อเกิดอาการผิดปกติ แม้ว่าจะมีงายวิจัยชี้ว่า ดวงตาต้องเผชิญกับแสงบลูไลท์ที่ทำลายเซลล์รับภาพเป็นเวลานานกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น การทานสารอาหารที่ช่วยบำรุงดวงตาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน